ความเคลื่อนไหวการเลือก กรรมการองค์กรอิสระ ตามรัฐธรรมนูญ ที่อำนาจอยู่ในมือ สว.สีน้ำเงิน ที่คุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาร่วม 160 เสียง ที่ผ่านมาหลายคนได้เห็นกำลังภายในกันแล้วว่า สว.สีน้ำเงินแท็กทีม ผนึกเสียงกันได้แน่นหนาขนาดไหน
ทั้งกรณีที่ สว.ลงมติไม่ให้ความเห็นชอบ นิวัติไชย เกษมมงคล อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช. เป็น "คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน" (คตง.) โดยมีคะแนนเสียงเห็นชอบแค่ 30 คะแนน ไม่เห็นชอบ 145 คะแนน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นิวัติไชยถูกคาดหมายว่าจะขึ้นมาเป็น ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เสียด้วยซ้ำ รวมถึงการไม่ให้ความเห็นชอบ พศุตม์ณิชา จำปาเทศ อดีตรองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (รองผู้ว่าฯ สตง.) เป็น คตง. ในการโหวตวันเดียวกันกับที่โหวตนิวัติไชย คือเมื่อวันที่ 10 ก.พ.2568 ที่ผ่านมา
ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า สาเหตุที่ชื่อทั้งสองคนไม่ผ่านในชั้น สว.เป็นเพราะมี สัญญาณพิเศษมาจากแถวๆ ซอยรางน้ำ ว่าสองชื่อนี้ไม่โอเค โดยลือกันว่า เพราะมีปัญหาบางอย่างสมัยทั้งสองคนทำงานอยู่ที่ ป.ป.ช.และตึก สตง.ตามลำดับ จึงทำให้ สว.สีน้ำเงินโหวตไม่เห็นชอบกันเพียบ จนเสียงเห็นชอบไม่ถึงเกณฑ์ ทั้งสองคนเลยไม่ได้เป็น คตง.
รวมถึงล่าสุดสดๆ ร้อนๆ เมื่อเร็วๆ นี้ กับกรณี สว.ไม่เห็นชอบให้ รื่นวดี สุวรรณมงคล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็น "ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ตามที่คณะกรรมการสรรหาฯ ที่มีประธานศาลฎีกาส่งชื่อมา
แม้โปรไฟล์รื่นวดีจะไม่ธรรมดา เป็นทั้งอดีตอธิบดีกรมคุมประพฤติ อดีตอธิบดีกรมบังคับคดี อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่ เป็นพี่สาวของอนุศาสน์ สุวรรณมงคล อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีต สนช.หลายสมัย เจ้าของโรงแรมซี เอส ปัตตานี ซึ่งเป็นโรงแรมอันดับหนึ่งของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทุกคณะ เวลาลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องพักที่โรงแรมดังกล่าว จึงทำให้ “รื่นวดี-อนุศาสน์” มีคอนเนกชันที่ไม่ธรรมดา
แต่ปรากฏว่า สว.ชุดปัจจุบันกลับโหวตเห็นชอบให้รื่นวดีแค่ 18 เสียง ทำเอาแวดวงการเมืองตะลึงงัน ที่ทำไมคะแนนน้อยถึงเพียงนี้ ได้แค่ 18 เสียง จาก สว. 200 คน
แสดงว่าต้องมีอะไรแน่นอนที่ทำให้ สว.สีน้ำเงินแพ็กเสียงกันแน่น ไม่ยอมให้รื่นวดีเข้าไปเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะข่าวที่ว่า สว.มีการอภิปรายการทำงานของรื่นวดี สมัยเป็นเลขาธิการ ก.ล.ต.ในหลายกรณี เช่น ความล่าช้าในการตวจสอบการซื้อขายหุ้นของบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE หรือความไม่ชัดเจนของสำนักงาน ก.ล.ต.ต่อเรื่อง "สินทรัพย์ดิจิทัล” ที่มาแรงในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ ดูแล้วน่าจะยังไม่มีน้ำหนักพอ ข่าวว่าลึกๆ น่าจะมีอะไรมากกว่านั้นที่ทำให้ สว.สีน้ำเงินโหวตไม่ผ่านชื่อรื่นวดี
และอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้ วุฒิสภาก็จะลงมติเห็นชอบ-ไม่เห็นชอบ 2 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่ ที่มีชื่อของ ดร.สิริพรรณ นกสวน สวสัดี นักวิชาการสายรัฐศาสตร์ชื่อดังจากจุฬาฯ ที่มีแนวคิดการเมืองซึ่งฝ่ายอนุรักษนิยมไม่แฮปปี้แน่นอน หากจะเข้าไปเป็นตุลาการศาล รธน.อยู่ในสองชื่อดังกล่าวด้วย
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า ชื่อนี้ต้องลุ้นหนัก จะผ่านหรือไม่ผ่าน หลัง สว.สีน้ำเงินตั้งป้อมแล้ว สิริพรรณเหงื่อตกแน่นอน!
และถัดไปจะเป็นอีกองค์กรหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การเลือก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหม่ ที่จะมีการส่งรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกไปให้วุฒิสภาพิจารณาลงมติ "เห็นชอบ-ไม่เห็นชอบ” ในเร็ววันนี้
เพราะเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา นางชนากานต์ ธีรเวชพลกุล ประธานศาลฎีกา ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหม่ ได้เรียกประชุมกรรมการฯ ที่ศาลฎีกา เพื่อลงมติคัดเลือกบุคคลเพื่อเสนอชื่อไปเป็น ป.ป.ช.ใหม่จำนวน 3 คน เพื่อส่งให้วุฒิสภาลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ
การเลือกดังกล่าวแยกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการเลือก ป.ป.ช.แทน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ อดีตประธานกรรมการ ป.ป.ช. ที่พ้นจากตำแหน่งไปเมื่อปี 2567 เพราะอายุครบ 70 ปีที่ตามกฎหมาย หากเป็นประธาน ป.ป.ช.อยู่ครบวาระต้องพ้นจากตำแหน่งทันที ไม่สามารถรักษาการได้ โดยที่ประชุมเลือกนายประกอบ ลีละเปสนันท์ รองประธานศาลฎีกา อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา อดีตประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ให้ถูกเสนอชื่อเป็น ป.ป.ช.คนใหม่ แทน พล.ต.อ.วัชรพล
จากนั้นเป็นการเลือกในส่วนที่สองคือ เลือก ป.ป.ช.คนใหม่แทนนายวิทยา อาคมพิทักษ์ และนางสุวณา สุวรรณจูฑะ ที่อยู่ในตำแหน่งครบวาระ 9 ปีแล้ว แต่อายุยังไม่ถึง 70 ปี จึงทำให้ยังรักษาการต่อไปได้จนกว่าจะมี ป.ป.ช.คนใหม่มาทำหน้าที่แทน
ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกนายเพียรศักดิ์ สมบัติทอง อธิบดีอัยการภาค 2 อดีตอธิบดีสำนักงานคณะกรรมการอัยการ แทนนายวิทยาและเลือกนายประจวบ ตันตินนท์ ผู้สอบบัญชีอิสระ และอดีตผู้บริหารบริษัทมหาชน แทนนางสุวณา
ส่วนขั้นตอนต่อจากนี้ ทางคณะกรรมการสรรหาฯ จะส่งมติที่ลงรายมือชื่อกรรมการสรรหาฯ ทั้งหมดส่งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เพื่อให้ส่งมติดังกล่าวและรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก ตลอดจนประวัติส่วนตัวและผลการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม เพื่อให้เลขาธิการวุฒิสภาบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมของวุฒิสภาต่อไป
โดยคาดว่าจะส่งได้ก่อนปิดสมัยประชุมเดือนเมษายน เพื่อให้ที่ประชุมวุฒิสภาตั้งคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาตรวจสอบประวัติผู้ได้รับการเสนอชื่อทั้งสามคน
และเมื่อคณะ กมธ.ตรวจสอบเสร็จก็จะทำรายงาน "ลับที่สุด” เสนอให้ สว.ทั้งหมดในห้องประชุมลับ เพื่อลงมติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบทั้งสามชื่อเป็น ป.ป.ช.คนใหม่
โดยหากที่ประชุมวุฒิสภาเห็นชอบหมดทั้งสามคน จากนั้นประธานวุฒิสภาจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป และเมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ลงมา ก็จะทำให้นายวิทยาและนางสุวรรณาพ้นจากตำแหน่ง ป.ป.ช.ทันที
อนึ่ง ป.ป.ช.ตามกฎหมายมีด้วยกัน 9 คน โดยปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่อยู่ 7 ราย ซึ่งหากทั้งสามรายชื่อผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา ก็จะทำให้กลายเป็น 8 คน ส่วนสาเหตุที่ ป.ป.ช.จะไม่ครบ 9 คน แม้ต่อให้วุฒิสภาโหวตเห็นชอบหมดทั้งสามรายชื่อข้างต้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ สว.ชุดที่แล้วได้ลงมติเห็นชอบให้นายพศวัจณ์ กนกนาก อดีตประธานศาลอุทธรณ์ เป็น ป.ป.ช.คนใหม่ แทน พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง อดีตกรรมการ ป.ป.ช.ตั้งแต่สิงหาคม 2566 แต่ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมา โดยพบว่า สว.ทั้งชุดที่แล้วและชุดปัจจุบันซึ่งได้โหวตเห็นชอบให้บุคคลตามชื่อที่คณะกรรมการสรรหาฯ ส่งมาไปเป็น ป.ป.ช. ต่างได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็น ป.ป.ช.แล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ, นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์, นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง และนายประภาศ คงเอียด
ทำให้น่าจับตาว่า สว.สีน้ำเงินที่คุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาร่วม 160 เสียง จะโหวตเห็นชอบรายชื่อว่าที่ ป.ป.ช.ทั้งสามชื่อที่คณะกรรมการสรรหาฯ ส่งมาหรือไม่ เพราะสามเสียงของ ป.ป.ช.ที่จะเข้าไป จะมีผลต่อการพิจารณาสำนวนคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ ป.ป.ช.มีมติตั้งคณะกรรมการไต่สวน โดยให้ ป.ป.ช.เป็นกรรมการเต็มคณะ อย่างมาก โดยเฉพาะในการลงมติเอาผิด ชี้มูลความผิดผู้บริหารกรมราชทัณฑ์และเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 12 คน ที่ถูก ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวน ที่จะมีผลต่อนายทักษิณ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ตามมาแน่นอน
รวมถึงคดีสำคัญๆ ในมือ ป.ป.ช. เช่น คดี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และคดีพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. ที่ถูก ป.ป.ช.ไต่สวนกรณีข้อกล่าวหาเรียกรับผลประโยชน์จากเว็บพนันออนไลน์ เป็นต้น
สำหรับรายชื่อคนที่สมัครเป็น ป.ป.ช.รอบนี้ ที่เปิดรับสามตำแหน่ง แต่ไม่ได้รับเลือกที่น่าสนใจ มีเช่น บิ๊กจ้าว-พลตำรวจโทธิติ แสงสว่าง ผช.ผบ.ตร. อดีต ผบช.น. ที่เคยได้รับการคัดเลือก แต่วุฒิสภาชุดที่แล้วโหวตไม่ให้ความเห็นชอบ เนื่องจากมี สว.เกรงว่าอาจมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติการเทียบตำแหน่งผู้บัญชาการว่าไม่เทียบเท่าอธิบดี เป็นต้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


