กางตัวเลขเขี่ยภท. พท.ถูกรุมกินโต๊ะ?

กระแสข่าวปรับ ครม.เขี่ยพรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล และเตรียมดึงพรรคพลังประชารัฐมาเสียบแทน หรือสั่งสอน โดยริบโควตากระทรวงมหาดไทย 

เป็นข่าวลือที่ปล่อยออกมาในช่วงวันหยุดสงกรานต์มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกโต้โดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคสีน้ำเงินว่า เป็นข่าวปล่อย พร้อมยืนยันว่าความสัมพันธ์ของตัวเองกับนายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” ยังเหมือนเดิม  

อีกทั้งก่อนหน้าวันสงกรานต์ ยังไปรับประทานอาหารเย็นกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ กับแขกต่างประเทศ โดยไม่มีนักการเมืองอื่นๆ 

เช่นเดียวกับ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ก็ออกมาปฏิเสธอย่างทันควันว่า "เป็นการปล่อยข่าวเฟกนิวส์เพื่อหวังผลประโยชน์ ยืนยันจะไม่มีการกลับไปร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอน"

สาเหตุของข่าวลือนี้ คือต้องการจงใจให้เห็นว่า “นายใหญ่” และคนพรรคเพื่อไทยไม่พอใจ หลังเกิดกรณี “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ประกาศกลางสภาฯ ว่า “ไม่เอากาสิโน”

แม้ “อนุทิน” จะบอกว่าเป็นการผิดคิว หรือนายกฯ บอกว่าไม่ติดใจ และพรรคภูมิใจไทยไปเคลียร์กันเองแล้วก็ตาม แต่คนรอบกายนายใหญ่และคนเพื่อไทย อาจยังต้องการฟังสัญญาณชัดเจนจากคนถืออำนาจในพรรคสีน้ำเงินให้แสดงออกยอมจำนนอย่างเปิดเผย

 จึงมีปล่อยสูตรให้พรรคพลังประชารัฐเข้ามาแทนพรรคภูมิใจไทย เพื่อกดดันให้ยอมศิโรราบ ทั้งในเรื่อง “กาสิโน” หรือ “การแก้รัฐธรรมนูญ” ฯลฯ

แถมยังได้โควตาว่างเพิ่มขึ้น อีก 8 ตำแหน่ง ให้บรรดาเสือหิวในพรรคเพื่อไทย รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ไม่ต้องแย่งชามข้าวกันอย่างเช่นเดิม    

โดยเฉพาะเก้าอี้กระทรวงมหาดไทย ที่ทั้งอำนาจและบารมีทางการเมืองสามารถควบคุมกลไกต่างๆ ในจังหวัดและท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ต่อการเลือกตั้งได้ รวมถึงกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีข่าวจะมีเครือข่ายข้าราชการครูทั่วประเทศเป็นหัวคะแนน  

ยังได้ชำระแค้น หากเขี่ยพรรคสีน้ำเงินพ้นทางไปแล้ว ยังเป็นการกู้หน้าให้ “นายใหญ่” หลังถูกขวางหลายเรื่องที่กำลังจะกลืนลงคอ  

แต่ท้ายสุดของเรื่อง “นายกฯ อิ๊งค์” ก็ต้องมาแถลงสยบข่าวเรื่องกระแสปรับพรรคภูมิใจไทยออก และดึงพรรคพลังประชารัฐเข้ามาแทนว่า “ยังไม่มีอย่างนั้นนะคะ ตอนนี้ทุกอย่างเหมือนเดิมอยู่”

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เมื่อกางตัวเลขพบว่า หากไม่มีพรรคภูมิใจไทย ถือเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลเพื่อไทยจะเดินต่อไปได้  

เนื่อกจากในขณะนี้สภาฯ มีจำนวน 493 เสียง กึ่งหนึ่งของสภาฯ คือ 247 เสียง ขณะที่เสียงของรัฐบาลมีประมาณ 322 เสียง ตัดเสียง ภท.ออกไป 69 เสียง ก็จะเหลือ 253 เสียง ก็จะทำให้รัฐบาลอยู่ในสภาฯ เสียงปริ่มน้ำ และเสถียรภาพรัฐบาลจะวุ่นวาย ไร้ความสุขสงบทันที

แม้จะมีคนไปเสนอ นายใหญ่ เตรียมดึงพรรคพลังประชารัฐ 20 เสียง เข้ามาแทน แต่ก็ต้องแลกกับข้อต่อรองที่สูงลิ่วให้ “ลุงป้อม” อย่างเช่น รองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) 

แต่สิ่งสำคัญสุด “อิ๊งค์” หรือ “นายกฯ เจนวาย” จะยอมรับและทำใจได้หรือไม่ เพราะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” และรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จนต้องหนีไปต่างประเทศ

รวมถึงความขัดแย้งกับ “พ่อนายกฯ” ที่มีมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี ระหว่างหนีคดีอยู่ต่างๆ ประเทศในช่วงรัฐบาล คสช.ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลหลังเลือกตั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะเรื่องคดีความและผลประโยชน์ต่างๆ ทางการเมืองที่ไม่ลงตัว

กระทั่ง “ทักษิณ” ออกมาซัด “บิ๊กป้อม” ว่า “ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.เลย”    

รวมถึงกระแสต่างๆ ที่จะโจมตี “นายกฯ อิ๊งค์” อย่างหนักแน่นอน หากต้องการเป็นนางแบก “บิ๊กป้อม” ใน ครม.ตัวเอง  เพราะเพียงแค่น้ำจิ้มกลับคำพูดเท่านั้น ยังถูกต่อว่าอย่างกว้างขวาง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากถึงเวลาไปหาเสียงก็จะไม่มีใครเชื่อข้ออ้างให้ “ดูหน้าดิฉันไว้นะคะ” เพราะเมื่อดูแล้วต่อไปจะทำจริงได้หรือเปล่า ต้องไปเสี่ยงดวงเอา เหมือนการซื้อหวย 

นอกจากนี้ด้วยจำนวนเสียงปริ่มน้ำ หรือมีการดึงเสียง สส.เข้ามาพอพ้นน้ำได้ แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะเปิดโอกาสให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยหรือระดับกลาง มีพลังการเมืองสูงขึ้น อาจลุกขึ้นมารวมหัว หรือแยกกันตี เพื่อขี่คอ และต่อรองผลประโยชน์กับ “นายใหญ่” และ “นายน้อย” ได้ตลอดเวลา  

ด้วยตัวเลขทางการเมืองเช่นนี้ จึงสอดคล้องกับ “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยยอมรับว่า เมื่อกางตัวเลขออกมาแล้ว เขี่ยภูมิใจไทยไม่ได้ เพราะเสี่ยงออกไปตายดาบหน้า พร้อมยอมรับจำนวนประมาณ 320 เสียง เป็นจำนวนที่สามารถลดแรงต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาลได้    

ยังไม่นับการเปิดศึกนอกภายนอกรัฐบาล จะต้องเจออิทธิฤทธิ์ของ สว.สีน้ำเงินที่ยึดสภาสูงในอัตราส่วน 3 ใน 4 อยู่ในเวลานี้ ทั้งในเรื่องพิจารณากฎหมายของรัฐบาลจะราบรื่นหรือไม่ 

คนในรัฐบาลจะถูกยื่นตรวจสอบจริยธรรมอย่างร้ายแรงในเรื่องต่างๆ เพื่อถอดถอนต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือไม่ จนสุดท้ายต้องยุบสภาฯ หรือถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต

ด้วยตัวเลขมันฟ้อง... ฉะนั้นการมีพรรคภูมิใจไทยอยู่ในรัฐบาล อาจมีความขัดแย้งอยู่บ้าง แต่แค่เพียงพรรคเดียว ก็ตบจูบ และต่อรองกันไปได้ ดีกว่าเลือกไปเสี่ยงตายดาบหน้า แถมยังสุ่มเสี่ยงถูกทุกพรรคร่วมฯ รุมกินโต๊ะเพื่อไทย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โฆษกรัฐบาล ยันภาพ ‘อิ๊งค์-ปู’ เก่า แค่ให้กำลังใจ

‘จิรายุ’ แจงภาพแพทองธารคู่ยิ่งลักษณ์เป็นเพียงภาพเก่า โพสต์ให้กำลังใจ ไม่เกี่ยวภารกิจลอนดอน ย้ำไม่มีนัดพบ พร้อมเผยนายกฯ เตรียมเจรจาดึง F1 จัดในไทยก่อนร่วมประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย

สัญญาณชัดล้มดีลรัฐบาลพท. 'สว.น้ำเงิน'รุกตั้ง“องค์กรอิสระ”

สถานการณ์ นิติสงคราม ระหว่าง สีแดง กับ สีน้ำเงิน ผ่านเป้าหมายแบ่งเค้กในองค์กรอิสระ หลังพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 138 สว. เกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทย มีอำนาจเห็นชอบ ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. ) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ ที่ให้คุณให้โทษทางการเมืองทางการเมืองได้

โฆษก พปชร. เผย 2 ป. ต่อสายให้กำลังใจ 'บิ๊กป้อม'

พล.ต.ท. ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ลื่นล้มเล็กน้อย จนเป็นข่าวที่สร้างความตกใจให้กับผู้ใกล้ชิดหลายฝ่าย โดยเฉพาะ

เอฟเฟกต์'แจกเงินหมื่น' ฉุดเชื่อมั่น'พท.'ดิ่งเหว

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการ “แจกเงินหมื่น” ในเฟสที่ 3 ให้กลุ่มวัยรุ่น ที่รอบนี้จะเป็นการเติมเงินลงไปในรูปแบบดิจิทัลวอลเล็ต ต้องชะลอออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด หลังรัฐบาลเคาะแจกในกลุ่มดังกล่าวไปแล้ว แต่ได้ทอดเวลามาเนิ่นนานไม่มีการอนุมัติเม็ดเงิน ท่ามกลางเสียงวิจารณ์อนาคตเงินหมื่นเฟส 3 ต้องล่มแน่ๆ