การดำรงความมุ่งหมายในข้อเสนอ “การปกครองตนเอง” จากตัวแทนที่อ้างตัวว่าเป็น “ตัวจริง” ในขบวนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะแค่จะเริ่มกระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการ ก็ยังไม่สามารถทำให้เกิด “พื้นที่ปลอดภัย” หรือ “ห้วงเวลาปลอดภัย” ได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในทางตรงกันข้าม สถานการณ์ในพื้นที่กลับยิ่งรุนแรงขึ้น
สารพัดการข่าวระบุถึงสาเหตุ ที่ไฟใต้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งปมเหตุยิง นายอับดุลรอนิง ลาเตะ ลูกจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเสียชีวิตที่ อ.สุไหงโก-ลก จากนั้นก็มีข่าวทันทีว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ แม้ภายหลังมีข้อมูลว่าคนตายไม่ใช่อุสตาซ แต่เรื่องนี้ยังเป็นข้อถกเถียง และยังต้องติดตามผลทางคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่
บ้างก็วิเคราะห์ว่า เป็นวงรอบตามแผนยุทธวิธีของ “บีอาร์เอ็น” ที่มีห้วงเวลาของ “ความพร้อม” ที่ฝ่ายปฏิบัติหรืออาร์เคเคจะก่อเหตุรุนแรงอยู่แล้ว และสอดคล้องกับจังหวะเวลาที่รัฐบาลเตรียมจะเดินหน้าในการแต่งตั้งคณะพูดคุยสันติสุขรอบใหม่
แต่ที่เห็นเชิงประจักษ์คือ จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์รุนแรงต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่เหตุระเบิดริมกำแพงหลังแฟลตโรงพักโคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส บาดเจ็บนับสิบ ตามมาด้วยการกราดยิงชาวบ้านไทยพุทธขณะนั่งกินข้าวด้วยกัน บาดเจ็บ 7 ราย ที่ อ.แว้ง จ.นราธิวาส จากนั้นมีเหตุยิงรถตำรวจขณะพาพระ-เณรวัดกุหร่า ออกบิณฑบาต อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
และวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา เกิดเหตุยิงหญิงชราเสียชีวิตคาไม้เท้า โดยลูกชายวัย 50 บาดเจ็บสาหัส ที่ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ตามมาด้วยยิงบ้านชาวบ้านไทยพุทธ เสียชีวิต 3 ราย มีเด็กหญิง 8-9 ขวบรวมอยู่ด้วย ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
ที่น่าตกใจคือคนร้ายซุกระเบิดในกล่องควบคุมกล้องวงจรปิดบนเสาไฟฟ้า อ.จะแนะ นราธิวาส ชุดสืบสวนคดีความมั่นคงปืนขึ้นไปตรวจสอบภาพ หวังหาเบาะแสคดียิงหญิงชราดับคาไม้เท้า เกิดเหตุระเบิดมีตำรวจเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 2 นาย ล่าสุดเหตุคนร้ายขี่มอเตอร์ไซค์ตามประกบยิง สารวัตรกำนัน อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เสียชีวิต
ขณะที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ออกมายอมรับว่าการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องยาก เพราะมีความสลับซับซ้อน อีกทั้งข้อมูลจากฝ่ายต่างๆ ไม่ตรงกัน หลังจากที่ได้ไปจับเข่าคุยกับระดับผู้การกรมในพื้นที่มาแล้ว
และเตรียมจะลงพื้นที่ไปอีกครั้ง เพื่อลงไปฟังความคิดเห็นจากผู้บังคับกองพัน ผู้การจังหวัด เพื่อจะได้ข้อสรุปนำเคาะเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ และตั้งคณะพูดคุยสันติสุข
เพราะข้อมูลหลายชุดที่ได้ฟังมานั้นมีทิศทางที่ต่างกัน จาก “แหล่งข่าว” ที่ได้มาต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น “ข่าวกรอง” จากหน่วยความมั่นคง หรือ “สายข่าว” ที่เกาะติดฝังตัว แต่ไม่ได้อยู่ในโครงสร้างอย่างเป็นทางการ ซึ่งใกล้ชิดกับทหารในสายของพรรคการเมืองมีความต่างกัน ทำให้ "ภูมิธรรม" เองก็ต้องสังเคราะห์ข้อมูล และไปฟังจากคนที่ปฏิบัติจริงในพื้นที่ รวมถึงชาวบ้านว่ามีความต้องการแบบไหน
ในแง่ยุทธวิธีมีการปรับกำลังทหารในพื้นที่ไปบ้าง แต่ยังมีกำลังประจำถิ่น เช่น ทหารพราน ตชด. ชรบ. รวมถึงอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ซึ่งได้มีการเสริมสร้างขีดความสามารถเพื่อให้รับไม้ต่อในปลายปี 2570 ในไทม์ไลน์ที่อาจจะมีการยุบ กอ.รมน.ภาค 4 สน. และตั้ง พตท.ขึ้นมาใหม่ โดยทั้งหมดขึ้นตรงทางยุทธการกับ กอ.รมน.4 สน. ซึ่งมี พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 เป็น ผอ.รมน.ภาค 4 สน. แต่ในที่สุดการลดระดับความเข้มข้นในงานด้านการรักษาความปลอดภัยคงเป็นไปได้ยากในสถานการณ์แบบนี้
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังในการใช้ยาแรง เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเป็นไปตามเกมของผู้ก่อเหตุที่หวังล่อให้เจ้าหน้าที่รัฐทนไม่ไหว ใช้อาวุธในการกวาดล้างเปิดยุทธการไล่ล่า จนเข้าทางโจร
นอกจากนั้นยังมีปัญหาในเรื่องเอกภาพขององค์กรระดับปฏิบัติเอง บางกรณีสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความขัดแย้งในเรื่องตัวบุคคลอันเกี่ยวเนื่องกับการเลื่อนยศ ปลดย้าย เป็นที่ตั้ง จนกลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างผู้บังคับบัญชา และผู้ใต้บังคับบัญชา
บางกรณีเป็นเรื่องของการ “วางทายาท” ในการรับไม้ เพื่อสานต่อในทุกเรื่องมาตั้งแต่ในอดีต การแก้ไขปัญหาจึงเป็นเรื่องของการเน้นย้ำ กำชับ สั่งการ รักษาตัวไปจนกว่าที่จะพ้นฤดูแต่งตั้งโยกย้ายไปเท่านั้น
แต่ในภาพรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนที่รับผิดชอบคงจะนิ่งเฉยกันต่อไปไม่ได้ เพราะนี่คือการเปิดฉากปฏิบัติการของฝ่ายก่อความไม่สงบเกือบเต็มรูปแบบ แม้กระทั่ง พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะรอง ผอ.รมน. ยังกล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่เราต้องร่วมกันต่อสู้ โดยอาศัยองค์ประกอบต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และกลไกกระบวนการยุติธรรม มาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน”
ส่วนฝ่ายการเมืองเองก็ดูเหมือนว่า เริ่มไปไม่เป็น กว่าจะเริ่มเดินหน้าแก้ไขปัญหา ก็เห็นถึงเงื่อนปมที่ผูกไว้อย่างสลับซับซ้อน แถมยังต้องรอการกดปุ่มจาก “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ปรึกษาประธานอาเซียนออกมาระบุว่า สถานการณ์จะเริ่มเบาลงในปีนี้ เพราะมีการ “ดีล” และพูดคุยกับแกนนำกลุ่มต่างๆ โดยมีประธานอาเซียนที่จะประสานงานช่วยเหลือให้จุดมุ่งหมายทางการเมืองครั้งนี้เป็นผล จึงปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐมนตรีที่รับผิดชอบนโยบายก็คงมัวแต่รอรับสัญญาณอยู่
ในขณะนี้จึงดูเหมือนการดำเนินนโยบายดับไฟใต้ “ชะงักงัน” เพราะสถานการณ์ทางการเมืองในภาพใหญ่มีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะประเด็นที่ “ทักษิณ” ถูกศาลเรียกไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญ
ส่งผลให้โฟกัสในประเด็นปัญหาสำคัญต่างๆ ของประเทศถูกลดน้ำหนักลง ขณะที่เหล่าบรรดา รมต.ในเครือชินวัตร ก็เหมือนทำงานเพื่อ “รอเวลา” เพื่อให้เกิดความชัดเจนทางการเมืองมากกว่านี้
สถานการณ์ในภาคใต้จึงดูเคว้งคว้าง และไร้ทิศทาง เพราะยังต้องรอให้การเมืองเกิดความเสถียรมากกว่านี้ ท่ามกลางความสุ่มเสี่ยงที่ไฟใต้อาจจะลุกโชนเหมือน 20 ปีก่อนหน้านี้ก็ได้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


