สับ!อาคารรัฐสภาแห่งใหม่  ยังผลาญงบ แก้งานไม่จบ

ระบบราชการไทยที่อยู่ได้ด้วยงบประมาณจากเงินภาษีของประชาชน มูลค่าหลายล้านล้านบาทต่อปี

หน่วยรับงบประมาณส่วนต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐ ซึ่งจะได้รับการจัดสรร เฉลี่ยใกล้กัน ไปตามแต่ภารกิจสำคัญในหน่วยงานตัวเอง

และการบริหารจัดการของแต่ละองค์กรในทุกระดับ เริ่มจากท้องถิ่นจนถึงประเทศชาติ ที่ไหลไปตลอดสายการบังคับบัญชา ก็มักจะถูกตั้งคำถามมาเสมอว่า การใช้จ่ายเหล่านั้นดูจะไม่คุ้มค่า ทั้งยังมีมูลค่าที่สูงเกินจริง

หลากหลายกรณี เมื่อมีคนออกมาเปิดเผยตัวเลข จะถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมถาโถมใส่ แต่เมื่อเรื่องเงียบไป โครงการที่คล้ายๆ กันนั้นก็ถูกวนกลับมาทำซ้ำอยู่ดี

ตั้งแต่เสาไฟกินรี, เครื่องออกกำลังกายในสวนสาธารณะ ตลอดจนครุภัณฑ์ ซึ่งเป็นการแทรกซึมอยู่ในโครงการจัดซื้อจัดจ้าง

ขณะที่การก่อสร้างอาคารของส่วนงาน อาจใช้ช่องการออกแบบที่ซ้ำซ้อน เปลี่ยนสเปกของที่ใช้ ตลอดจนล็อกงานประมูลผู้รับเหมา

ยกตัวอย่าง อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งพังครืนถล่มลงมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว หรือโครงการก่อสร้างอาคารใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ต้องหยุดสร้างไป เนื่องจากมีการยกเลิกสัญญา

บ้างก็ว่า การที่หน่วยงานจะต้องปั้นตัวเลขให้ดูมากไว้ก่อน เป็นเพราะเมื่อถึงเวลาได้รับการจัดสรรจริง ตัวเลขที่ได้รับจะต่ำกว่าที่ตั้งขอไปเสมอ ขณะที่มุมหนึ่งมองว่า การบวกเกิน เผื่อเหลือเผื่อขาดนั้น คือรูโหว่เพื่อให้ได้เงินทอน ต้นตอของปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน หรือการแบ่งสรรประโยชน์ให้พวกพ้อง เอื้อนายทุน

ล่าสุด การปรับปรุงสัปปายะสภาสถานอาคารรัฐสภาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นที่ประชุมของท่านผู้ทรงเกียรติฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีพื้นที่รวมกว่า 424,000 ตร.ม. ด้วยเม็ดเงินรวมกว่า 22,000 ล้านบาท ตามการออกแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ ซึ่งถูกเปิดใช้งานเต็มรูปแบบในปี 2567 ก็เกิดการตั้งคำถามเช่นเดียวกัน

ทั้งที่ก่อนหน้านี้พบข้อบกพร่องและพิรุธมากมาย จนเกือบไม่ได้ตรวจรับมอบอาคาร แต่กลับไม่มีการแก้ไขที่ดีพอ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ปัญหาเดิมนั้นก็ดูจะยิ่งขยายตัวเพิ่ม จนต้องริเริ่ม รีโนเวตใหม่ เหมือนวนกลับมาสร้างอาคารเดิมซ้ำ

โดยมี 15 โครงการที่มีการส่งคำร้องของบประมาณในการปรับปรุงอาคารรัฐสภา รวมมูลค่ากว่า 2,700 ล้าน ซึ่งถูกไฮไลต์ออกมาทั้งหมด 5 โครงการหลัก ในการประชุมคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร วันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา

คือ 1.อาคารที่จอดรถเพิ่มเติมมูลค่า 4,600 ล้านบาท โดยมีการทำคำขอในงบประมาณปี 69 ไปจำนวน 1,500 ล้านบาท 2.โครงการระบบภาพยนตร์ 4 ดี อยู่ในตัวร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 อยู่ที่ 180 ล้านบาท 3.โครงการปรับปรุงศาลาแก้ว จำนวน 22 ล้านบาท อยู่ในตัวร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเช่นเดียวกัน 4.การปรับปรุงห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) งบประมาณ มูลค่า 118 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในตัวร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ และ 5.การตกแต่งฉากหลังบัลลังก์ประธานสภาฯ มูลค่า 133 ล้านบาท โดยยังไม่ได้ถูกอนุมัติในปีนี้

ประโยคหนึ่งที่ออกจากปากข้าราชการ เชิงประชดว่าเป็นเรื่องโชคดี ที่เราไม่ได้รับการจัดสรรในรายการนี้เมื่อถูกคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ ที่มี นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เป็นประธาน จี้ถามถึง การเสนอของบประมาณในการดำเนินโครงการใหม่ ที่ดูจะไม่สมเหตุสมผล หรือน้อยที่สุด คือยังไม่มีเหตุจำเป็นต้องทำในขณะนี้

"เบื้องต้นอยากให้ชี้แจงภาพรวมก่อนว่า สรุปแล้วในการก่อสร้างอาคารรัฐสภามีทั้งหมดกี่บาท หากอ้างอิงเอกสารงบประมาณปี 68 จะมีการพูดถึงวงเงินทั้งหมด 1.3 หมื่นล้านบาท ค่าควบคุมการก่อสร้างอีกประมาณ 400 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการตั้งงบประมาณเพิ่มเติมอีก 293 ล้านบาท"

ช่างคล้ายเป็นการขอไปก่อน โดยไม่ได้คาดหวัง หรือตั้งใจจะทำโครงการนั้นๆ จริง จึงไม่ได้มีความพยายามในการอธิบายเพียงพอว่า สิ่งที่วาดฝันขึ้นมา จะตอบโจทย์ หรือให้ประโยชน์อะไรกับเจ้าของเงินภาษี

สอดรับกับสมมติฐานข้างต้นว่า อาจเป็นการตั้งต้นด้วยสูตรคำนวณที่ไม่ได้สมจริง หรือเป็นไปตามบริบทหน้างาน หรือสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อสุดท้ายแล้ว หากคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 พิจารณาตัดลดงบประมาณลงไป ซึ่งเมื่อหักลบกลบกันแล้ว ก็คงหั่นลงมาไม่ถึงตัวเลขในใจขั้นต่ำที่ควรขออยู่ดี

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ เปิดเผยภายหลังการเรียกหน่วยงานรัฐสภาเข้าชี้แจงรายละเอียดของกว่า 15 โครงการที่เป็นประเด็น โดยหวังให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรนำข้อสังเกตของกรรมาธิการ และเสียงทักท้วงของประชาชนเข้าสู่ที่ประชุมผู้บริหาร ซึ่งมีประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรร่วมด้วย ในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ พร้อมขอให้ที่ประชุมมีมติออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร

"เพราะไม่เพียงพอที่จะอ้างว่า ให้คณะกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณไปตัดงบประมาณเอาเอง ซึ่งจะเป็นการสร้างมาตรฐานให้ในอนาคต หน่วยงานสามารถเสนอโครงการที่ไม่สมเหตุสมผลเข้ามาได้ เพื่อให้ สส.ปรับลดเอง เป็นสิ่งสำคัญเมื่อได้ยินเสียงของประชาชน และถูกตั้งข้อสังเกตจากคณะกรรมาธิการแล้ว ที่ประชุมผู้บริหารควรมีมติที่จะทบทวน และยุติโครงการใดนายพริษฐ์ กล่าว

เนื่องจากหากได้คำยืนยันของที่ประชุมผู้บริหาร จะทำให้กรรมาธิการวิสามัญงบประมาณตัดงบประมาณดังกล่าวได้ง่ายขึ้น และสามารถป้องกันความเสี่ยงในอนาคต ที่ถึงแม้จะถูกตัดงบประมาณออกไปแล้ว แต่ผู้บริหารงานอาจจะใช้วิธีโอนงบประมาณส่วนอื่นกลับมารื้อฟื้นโครงการดังกล่าวได้อีก แม้ไม่อยู่ในเอกสารงบประมาณ ซึ่งคำยืนยันจากที่ประชุมผู้บริหารนี้ ยังมีโอกาสเรียกคืนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อผู้บริหารรัฐสภาแห่งนี้ได้

ต้องติดตามกันต่อไปว่า มติของที่ประชุมผู้บริหาร ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้มีอำนาจตัดสินใจ ทั้งจากภาคการเมือง และฝ่ายข้าราชการ จะเป็นไปในทิศทางใด จำยอมถอยหลังให้ประชาชนหรือไม่ หรือจะเดินหน้าต่อไปตามแนวทางเดิม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

วาระร้อนหลังเปิดสภาฯ12ธ.ค. จุดไฟการเมืองลุกโชนก่อนยุบ!

รัฐสภาจะกลับมาเปิดสมัยประชุมกันอีกครั้งตั้งแต่ 12 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป ซึ่งหากจังหวะการเมืองเดินไปตาม MOA ที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ทำไว้กับพรรคประชาชน ก็คือจะ ยุบสภาฯ ในวันที่ 31 มกราคม 2569

หาดใหญ่-สแกมเมอร์ทำรบ.'แต้มหล่น' 'อนุทิน'เปิดหน้าชนกู้เรตติ้ง

โดนล่อเป้าในจังหวะที่รัฐบาลกำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอจากกรณีมหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สำหรับการปล่อยภาพที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน