เป็นการลาพรรคพลังประชารัฐเป็นครั้งที่ 2 สำหรับ อดีต 2 กุมาร ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อย่าง ‘อุตตม สาวนายน’ อดีต รมว.คลัง และ ‘สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์’ อดีต รมว.พลังงาน
ครั้งแรกจบไม่สวย เพราะถูกแกนนำในพรรคพลังประชารัฐหลายก๊กรวมหัวกัน ใช้แท็กติกทางกฎหมาย เซ็นใบลาออกจากกรรมการบริหารพรรค เพื่อให้กรรมการบริหารพรรคชุดเก่าที่มี ‘อุตตม’ เป็นหัวหน้าพรรค และ ‘สนธิรัตน์’ เป็นเลขาธิการพรรค สิ้นสภาพโดยอัตโนมัติ
สาเหตุในตอนนั้น เป็นเรื่องของโควตารัฐมนตรีที่ไม่เพียงพอจัดสรรให้มุ้งต่างๆ ภายในพรรค ขณะที่กลุ่มของนายสมคิด ซึ่งมี 4 กุมาร ได้แก่ นายอุตตม, นายสนธิรัตน์, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ถูกมองว่ากินโควตามากเกินไปทั้งที่ไม่มี สส.ในมือ
โดยก่อนหน้านั้นมีความพยายามเขย่ากลุ่ม 4 กุมารกันสักพักแต่ไม่สำเร็จ ก๊วน 4 กุมารไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี รวมถึงตำแหน่งผู้บริหารพรรค สุดท้ายจึงต้องใช้วิธีดังกล่าว
หลังกรรมการบริหารพรรคชุดแรกสิ้นสภาพ 4 กุมารรู้ชะตากรรมดีว่า เมื่อพวกเขาขาลอย ย่อมส่งผลต่อเก้าอี้รัฐมนตรีที่ตัวเองนั่งดังที่มุ้งต่างๆ ต้องการ สุดท้ายจึงชิงยื่นใบลาออกจากรัฐมนตรีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก่อนจะถูกปรับออก
หลังภารกิจเขี่ย 4 กุมารพ้นอำนาจในพรรค และพ้นเก้าอี้เสนาบดี มุ้งต่างๆ ได้ไปเชิญ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่อยู่หลังฉากมานานให้มาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ และเป็นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ขณะที่กลุ่ม 4 กุมารของนายสมคิดหันไปสร้างอาณาจักรใหม่ในชื่อ ‘พรรคสร้างอนาคตไทย’ มีนายอุตตมเป็นหัวหน้าพรรค และนายสนธิรัตน์เป็นเลขาธิการพรรค พร้อมชูนายสมคิดเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
‘พรรคสร้างอนาคตไทย’ เปิดตัวยิ่งใหญ่ ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อเนื่อง กระทั่งใกล้เลือกตั้งใหญ่กลับปรากฏข่าวการเจรจากับ ‘พรรคไทยสร้างไทย’ ของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในการควบรวมพรรคเพื่อต่อสู้กับพรรคขนาดใหญ่ แต่สุดท้ายดีลล่ม เพราะเจรจาไม่ลงตัว
นอกจากไม่สามารถควบรวมพรรคได้สำเร็จ ‘พรรคสร้างอนาคตไทย’ ยังเริ่มสั่นคลอน เมื่อผู้บริหารพรรคบางคนเริ่มลังเลต่อศึกเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ก่อนจะตัดสินใจล้มโปรเจกต์ตัวเองทั้งที่การเลือกตั้งมาถึงแล้ว ปล่อยพรรคสร้างอนาคตไทยทิ้งร้าง แล้วขนสมาชิกพรรคกลับไปอยู่กับ ‘บิ๊กป้อม’ ที่พรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง
การกลับมาครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกที่พวกเขาเป็นผู้ก่อตั้งพรรค ผู้บริหารพรรค ครั้งนี้กลับมาเป็นเพียงผู้ตามเท่านั้น โดย นายอุตตม ได้เป็นผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 5 ส่วน นายสนธิรัตน์ ได้เป็นผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 10
บทบาท 2 กุมารไม่มากเหมือนพรรคพลังประชารัฐยุคแรก และเมื่อผลการเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นพรรคอันดับ 1 และ 2 โควตารัฐมนตรีที่ได้จากพรรคแกนนำรัฐบาลก็ไม่ได้มากเหมือนตอนตัวเองเป็นแกนนำ
2 กุมารไม่มีใครได้เป็นรัฐมนตรีในโควตาพรรค เพราะโควตาที่พรรคได้จำกัด ส่วนผู้สมัคร สส.ที่ตามมาจากพรรคสร้างอนาคตไทย เมื่อได้เป็น สส. ก็ไม่ได้ขึ้นตรงกับตัวเองอีกต่อไป แต่ไปอยู่กับมุ้งอื่นๆ ในพรรคแทน ขณะที่บทบาทพวกเขาน้อยลงเรื่อยๆ
กระทั่ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา นำ 20 สส.ของพรรค แยกตัวออกไปตั้งอาณาจักรใหม่ที่ พรรคกล้าธรรม แต่ 2 กุมารยังเลือกอยู่กับ ‘บิ๊กป้อม’ ต่อ และเหมือนจะได้รับความสำคัญอีกครั้งในฐานะทีมเศรษฐกิจของพรรค โดยได้รับการแต่งตั้งจาก ‘บิ๊กป้อม’ ให้มีตำแหน่งต่างๆ ในพรรค คอยแสดงความเห็นทางวิชาการเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน
ขณะที่ การประชุมใหญ่ของพรรคครั้งล่าสุด ทั้ง 2 คนยังได้รับความไว้วางใจให้เป็น ‘รองหัวหน้าพรรค’ เช่นเดิม
แต่อย่างไรก็ดี ทิศทางของพรรคพลังประชารัฐดูจะไม่มีความแน่นอนว่าจะไปทางไหน และมีข่าวรายวันว่า สส.บางคนถูกดูดไปอยู่ฝ่ายรัฐบาล
ประกอบกับความไม่ชัดเจนว่า ครั้งหน้า ‘บิ๊กป้อม’ จะยังทำพรรค และนำพรรคเองอยู่หรือไม่ แม้เจ้าตัวจะย้ำหลายครั้งว่ายังทำอยู่ก็ตาม
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือออกมาสารพัดว่าคนนั้นคนนี้จะมาเทกโอเวอร์พรรคต่อ หรือแกนนำในพรรคบางคนจะออกไปตั้งพรรคใหม่ เพื่อเป็นพรรคขนาดเล็กรอร่วมรัฐบาลในอนาคต
อีกจุดคือ การตั้งตัวเปิดฉากรบกับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย และ ตระกูลชินวัตร แบบไม่มีกั๊ก ทำให้นักการเมือง และนักเลือกตั้งหลายคนที่ยังอยู่ในพรรคกังวลว่าจะเป็นข้อจำกัดตัวเองในอนาคต
ซึ่งเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักการเมืองหลายคนค่อยๆ หายหน้าไปจากพรรคพลังประชารัฐ
ขณะที่ ‘อุตตม-สนธิรัตน์’ 2 รายล่าสุดที่ลาออก แม้ทั้งสองฝ่ายจะยืนยันตรงกันว่า รอบนี้ไม่ซ้ำรอยรอบแรก เพราะจากกันด้วยดี และไม่ได้ทิ้ง ‘บิ๊กป้อม’ กลางทางในช่วงที่พรรคระส่ำ แต่ก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่า หนึ่งในเหตุผลของการโบกมือลาคือแนวทางของพรรคในปัจจุบันด้วย
เป็นการปลีกตัวออกไป ‘ตั้งหลัก’ มากกว่าจะวางมือทางการเมือง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


