9ก.ย.ทักษิณ คุก-ไม่คุก? เปิด3สูตรแนวคำสั่งศาลฎีกา

จันทร์นี้ 8 ก.ย. ติดตามกันว่า “ทักษิณ ชินวัตร” จะเดินทางกลับจากดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือไม่ หลังก่อนหน้านี้ออกมายืนยันว่า จะไปศาลฎีกาฯ วันที่ 9 ก.ย. เพื่อฟังคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะอ่านคำสั่งผลการไต่สวนการบังคับโทษทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกกันว่าคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ

ส่วนที่ว่า หากทักษิณไม่ไปศาลฎีกาฯ วันที่ 9 ก.ย. ศาลฎีกาฯ จะเลื่อนการอ่านคำสั่งหรือไม่ เรื่องนี้สายข่าวผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า การนัดฟังคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่การอ่านคำพิพากษา เป็นเพียงแค่การนัดอ่านคำสั่งของศาลฎีกาฯ ซึ่งคู่ความหรือโจทก์-จำเลย ไม่จำเป็นต้องมาปรากฏตัวที่ศาลฎีกาฯ องค์คณะสามารถอ่านคำสั่งศาลฎีกาฯ ได้

ที่สำคัญ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 40 วรรคสอง บัญญัติไว้ชัดเจนว่า

“ในกรณีที่ศาลนัดฟังคําพิพากษาหรือคําสั่ง แต่จําเลยที่ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาฟังคําพิพากษาหรือคําสั่ง ให้ศาลอ่านคําพิพากษาหรือคําสั่งลับหลังจําเลยได้ และให้ถือว่าจําเลยได้ฟังคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นแล้ว”

นั่นหมายถึงตัวทักษิณที่เป็นจำเลย หากไม่มาในวันที่ 9 ก.ย.นี้ ศาลฎีกาฯ สามารถอ่านคำสั่งเลยได้ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับองค์คณะ แต่แนวโน้มคงมีการอ่านคำสั่ง แม้ทักษิณไม่ไปปรากฏตัว

สำหรับการไต่สวนการบังคับโทษทักษิณ ที่นอน รพ.ตำรวจ 180 วัน จากนั้นก็เข้าสู่การพักโทษ ทำให้ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว

จุดสำคัญของการไต่สวนของศาลฎีกาฯ สรุปไว้ชัดๆ แบบนี้ว่า รูปคดีการไต่สวนตลอด 7 นัด ของศาลฎีกาฯ เป็นการ ไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง ใน 2 ประเด็นหลัก

1.มีการบังคับโทษทักษิณให้จำคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ที่เหลือโทษจำคุก 1 ปี หลังทักษิณได้รับพระราชทานลดโทษจาก 8 ปีเหลือ 1 ปี จริงหรือไม่

2.มีการใช้อำนาจรัฐผ่านเจ้าหน้าที่รัฐ-ผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและ รพ.ตำรวจ เพื่อช่วยเหลือไม่ให้ทักษิณต้องรับโทษติดคุกในเรือนจำหรือไม่ 

จึงทำให้แนวทางการไต่สวนขององค์คณะทั้ง 7 นัด มีพยานบุคคลไปเบิกความร่วม 30 กว่าคน จะพบว่า การไต่สวนพยานบุคคล การซักถามพยานบุคคล การแสวงหาพยานหลักฐานต่างๆ ขององค์คณะจะมุ่งเน้นไปที่

การแสวงหาข้อเท็จจริงการบังคับโทษกับนายทักษิณ

เพราะพบว่า องค์คณะได้บอกตั้งแต่วันแรกของการไต่สวน และตลอดการไต่สวนทุกนัด โดยเฉพาะเมื่อทนายฝ่ายทักษิณพยายามจะมีการซักถาม-ซักค้านพยานบุคคลบางปากในประเด็นข้อกฎหมาย ที่องค์คณะบอกตลอดว่า เรื่องข้อกฎหมายไม่ต้อง ศาลจะเป็นผู้พิจารณาเอง

ดังนั้นที่มีการถกเถียงกันว่า การส่งตัวทักษิณไปนอน รพ.ตำรวจ 180 วัน ทำได้หรือไม่ ตามมาตรา 55 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 ตลอดจนกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง จุดดังกล่าวองค์คณะเป็นผู้พิจารณาเอง แต่สิ่งที่ศาลฎีกาฯ อยากรู้คือข้อเท็จจริงตั้งแต่วันแรกที่มีการส่งตัวทักษิณออกจากเรือนจำไป รพ.ตำรวจ เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 22 ส.ค.2566 จนถึงวันครบกำหนด 180 วัน ที่ทักษิณ ออกจาก รพ.ตำรวจ เพราะได้รับการพักโทษ เป็นกระบวนการที่ผิดปกติ และมีการช่วยเหลือทักษิณ จนทำให้ การบังคับโทษไม่เกิดขึ้นจริง หรือไม่

สิ่งนี้คือจุดสำคัญของการไต่สวนคือ เน้นไปในทางไต่สวนหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่การตีความกฎหมาย

เช่น ไต่สวนเพื่อต้องการทราบว่า อาการป่วยของนายทักษิณ ป่วยวิกฤตรุนแรง จนมีเหตุให้นอน รพ.ตำรวจได้นานถึง 180 วันจริงหรือไม่ ซึ่งปมนี้เอกสารทางการแพทย์-ผลสอบและมติของแพทยสภา ที่ลงโทษแพทย์ 3 คนที่ร่วมกันส่งตัวและรักษานายทักษิณ และคำเบิกความของตัวแทนแพทยสภา ที่ศาลฎีกาฯ เรียกมาเบิกความไต่สวน เช่น ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา และอดีตคณบดีแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ เชื่อว่ามีน้ำหนักสูงในการทำความเห็นขององค์คณะ 

หรือการไต่สวนเพื่อหาข้อเท็จจริงว่า มีการช่วยเหลือให้ทักษิณได้รับอภิสิทธิ์ในการไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ แต่ให้ไปนอนหรูอยู่สบายที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยมีการเลือกปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัดหรือไม่ เช่น การส่งตัวในคืนวันที่ 22 ส.ค.2566 เหตุใด ไม่มีการส่งตัวไปดูอาการหรือรักษาตัวเบื้องต้นที่ รพ.ราชทัณฑ์ ที่อยู่ติดกับเรือนจำ ตามขั้นตอนปกติที่กรมราชทัณฑ์เคยปฏิบัติกันมา แต่กลับรีบส่งไป รพ.ตำรวจทันที ทั้งที่อยู่ห่างไกลกว่า รวมถึงการไต่สวนเพื่อดูว่าตลอด 180 วัน มีร่องรอยอะไรผิดปกติ เช่น เมื่อส่งตัวนายทักษิณไปถึง รพ.ตำรวจแล้วพบว่าไม่ได้ส่งเข้าห้องไอซียู แต่ส่งไปห้องพิเศษ-ใบเสร็จการรักษาพยาบาล ที่หลักฐานบางอย่างสอดคล้องกับผลสอบของแพทยสภาที่ว่า ทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤตรุนแรง  โดยไม่มีเหตุอันควร ในการไม่ยอมส่งตัวกลับเรือนจำ หรือแม้แต่ส่งไปรักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์  เป็นต้น

สำหรับแนวทางคำสั่งของศาลฎีกาฯ ที่จะออกมาในวันที่ 9 ก.ย.นี้ ประเมินทิศทางไว้ว่า คำสั่งศาลฎีกาฯ อาจจะออกมา 3 แนวทางตามความน่าจะเป็นดังนี้

1.ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งหลังทำการไต่สวนการบังคับโทษนายทักษิณแล้ว พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ กระบวนการทุกอย่างดำเนินไปตามกฎหมาย และไม่ได้มีการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐให้นายทักษิณได้รับอภิสิทธิ์หรือไม่ได้รับการบังคับโทษแต่อย่างใด

ที่ก็คือองค์คณะเห็นว่าการบังคับโทษนายทักษิณ ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรือนจำจนถึงการส่งตัวไป รพ.ตำรวจ และตลอดการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ 6 เดือน องค์คณะเห็นว่าทุกอย่างทำถูกต้อง ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าการบังคับโทษดังกล่าวผิดกฎหมาย หรือมีการใช้อำนาจรัฐในทางที่มิชอบ และไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ทักษิณไม่ได้รับการบังคับโทษ  กระนั้นหลายฝ่าย เชื่อว่า โอกาสออกมาแนวนี้น่าจะมีน้อย

2.ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งว่า การบังคับโทษนายทักษิณ โดยเฉพาะการส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ 6 เดือน จนได้รับการพักโทษ เป็นกระบวนการบังคับโทษที่ไม่ปกติ มีการช่วยเหลือกันของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือนายทักษิณ จนทำให้การบังคับโทษนายทักษิณที่จำคุก 1 ปี ไม่เกิดขึ้นจริง อันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง

และมีคำสั่งว่า ให้หน่วยงานต้นสังกัดที่เกี่ยวข้องต้องไปดำเนินการสอบสวนเอาผิดทางวินัยและอาญากับเจ้าหน้าที่ต่อไป ที่ก็เป็นเรื่องที่หน่วยงานต้นสังกัด เช่น กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรรมการ ป.ป.ช.ต้องไปดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกาฯ

โดยแนวทางที่ 2 นี้ ตัวคำสั่งอาจไม่มีการระบุถึงตัวนายทักษิณ ว่าต้องรับผิดชอบหรือรับโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ส่วนฝ่ายใดจะขยายผลเอาผิดไปถึงทักษิณ ก็เป็นเรื่องที่จะไปดำเนินการกันต่อไป คำสั่งของศาลฎีกาฯ อาจจะไม่ระบุไว้

3.คำสั่งศาลฎีกาฯ แจ้งผลการไต่สวนการบังคับโทษนายทักษิณว่า กระบวนการส่งตัวนายทักษิณไป รพ.ตำรวจ และการรักษาตัวนายทักษิณที่ รพ.ตำรวจ 6 เดือน จนได้รับการพักโทษ

ศาลฎีกาฯ พิจารณาจากการไต่สวนพยานบุคคลและพยานเอกสารต่างๆ แล้วเห็นว่า “ไม่ได้มีการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณตามคำพิพากษาของศาลฎีกา” เพราะมีพยานหลักฐานต่างๆ จากการไต่สวนพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหลายขั้นตอน โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจรัฐและช่องโหว่ของกฎหมายคอยช่วยเหลือให้นายทักษิณไม่ได้รับการจำคุก ไม่ได้รับการพักโทษ โดยที่นายทักษิณน่าจะมีส่วนรับรู้และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือดังกล่าวที่ทำให้ตัวเองได้ประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบดังกล่าวของเจ้าหน้าที่รัฐ

ศาลฎีกาฯ จึงเห็นว่า การบังคับโทษนายทักษิณในช่วง 180 วันแรก ก่อนการบังคับโทษมีปัญหาในทางปฏิบัติและทางกฎหมาย จึงให้เป็นโมฆะ และให้นายทักษิณกลับไปเข้าสู่กระบวนการบังคับโทษใหม่อีกครั้ง พร้อมกับให้มีการสอบสวนลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือนายทักษิณต่อไป หรืออาจไม่เขียนไว้แบบนี้ตรงๆ แต่หน่วยงานต้นสังกัด รวมถึง ป.ป.ช.ก็ต้องไปดำเนินการสอบสวนลงโทษเอาผิดต่อไป เป็นต้น

ส่วนคำสั่งศาลฎีกาฯ จะเป็นคุณหรือเป็นโทษกับทักษิณ และชะตากรรมทักษิณ หลังวันที่ 9 ก.ย.จะเป็นอย่างไร อีกไม่กี่อึดใจรู้ผล.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อิ๊งค์' โพสต์ภาพคู่ 'ทักษิณ' สุขสันต์วันพ่อ อดทนไว้ เราจะได้ไปเที่ยวรอบโลกด้วยกัน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ภาพถ่ายร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมระบุข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

'ทักษิณ' ร่วมเวที 'เสก โลโซ' ร้องเพลงใจสั่งมา ในเรือนจำกลางคลองเปรม

"ทักษิณ" ขึ้นเวทีเรือนจำฯ ควงไมโครโฟนร้องเพลง "ใจสั่งมา" บรรยากาศอบอุ่นมวลความสุข เพื่อนผู้ต้องขังกว่า 1,000 คน ต่างลุกโชว์สเต็ปแด๊นซ์

เพจดังงัดภาพใหม่กว่า ตบหน้าแฟนคลับพรรคแดง ขว้างงูไม่พ้นคอ ทักษิณก็รู้จัก 'เบน สมิธ'

จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังปรากฏภาพนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมเฟรมกับบุคคลระดับสูงในแวดวงการเมืองไทย ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569