“หากประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ แต่องค์กรของรัฐทั้งหลายไม่ยินยอมดำเนินการให้ โดยนิ่งเฉยไม่สนองตอบต่อความต้องการของประชาชน หรือองค์กรของรัฐทั้งหลายเข้าขัดขวาง โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้กระทำได้ เช่นนี้แล้ว ประชาชนจะทำเช่นไร” จากบทความ ‘กลับไปหาอำนาจปฐมสถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชน’
ประโยคคำถามเดิมของ ‘อาจารย์ป๊อก’ นายปิยบุตร แสงกนกกุล กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เคยเขียนไว้ในสมัยเป็นเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ตั้งแต่ปี 64 ที่ยังคงไม่ล้าสมัยไป เพราะดูเหมือนว่า ประชาธิปไตยไทยไม่ได้เดินไปทางไหนเลย
จนเกิดความกังวลใจในเวลานี้อีกครั้งว่า “คำวินิจฉัยเสมือนเป็นการประกาศว่า ศาลรัฐธรรมนูญคือผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเสียเอง จนความพยายามจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่รัฐสภาชุดนี้กำลังทำกันอยู่นั้น ถูกบังคับให้เดินตามกรอบ และเงื่อนไขจำนวนมาก ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (หากเกิดขึ้นจริง) ย่อมไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยแท้ มันคงเป็นได้แค่เพียง รัฐธรรมนูญส่วนต่อขยาย หรือส่วนแก้ไขภายใต้บ้านของรัฐธรรมนูญ 2560 เท่านั้น” นายปิยบุตรกล่าว
ภายหลังเมื่อวันก่อน ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า รัฐสภามีอำนาจริเริ่ม หรือแสดงความต้องการ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน ทั้งนี้ การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่ ‘รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง’
สาระสำคัญวรรคหนึ่ง ที่ต่างฝ่ายต่างตีความกันไปอย่างหลากหลาย จากการตั้งข้อสังเกตที่ว่า นี่คือการเพิ่มเติมคำตอบ เพื่อกำหนดทิศทางการคัดเลือกผู้ที่จะเข้ามาเขียนกฎหมายหรือไม่’
โดยเฉพาะจุดยืนของพรรคประชาชน ซึ่งเคยมุ่งหวังไว้ว่า ‘สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ควรเกิดจากการเลือกตั้งของประชาชน 100%
‘หัวหน้าเท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ก็ออกมาระบุว่า “แม้ว่าจะขัดต่อหลักการที่เคยพูดว่า ประชาชนมีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ แต่เมื่อคำวินิจฉัยออกมาเช่นนี้ จึงเห็นว่า อาจจะทำการเลือก ส.ส.ร.โดยทางอ้อม หรือการกระทำโดยรัฐสภามีมติแต่งตั้ง ส.ส.ร. ไม่ใช่การแต่งตั้งโดยตรง หรือรัฐสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ของรัฐสภาก็ได้ ส่วนจะกระทำโดยวิธีใดนั้น จะมีคณะทำงานที่ไปคิดเรื่องนี้”
นี่จึงเป็นโจทย์ที่พรรคประชาชนคงต้องหาวิธีออกแบบกลไกเพื่อเข้าใกล้เป้าหมายเดิมมากที่สุด ทั้งข้อเสนอว่า จะมีการให้ประชาชนเลือกตั้งกลุ่มคนขึ้นมา ก่อนที่จะให้รัฐสภาคัดเลือกอีกครั้ง โดยอาจกำหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมเข้าไป ที่อาจทำคล้ายกับการจัดทำรัฐธรรมนูญปี 40 หรือจะให้มีตั้งขึ้นจากคณะกรรมาธิการ ตลอดจนการให้ สส.ทำหน้าที่เป็น ส.ส.ร.ไปเลย ผ่านการกำหนดให้แต่ละพรรคการเมืองต้องระบุในการหาเสียง ถึงรายละเอียดในการจัดทำรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ประเด็นการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติกี่ครั้ง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติ ว่าให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่า เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ อนึ่ง การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้
‘หัวหน้าเท้ง’ จึงเร่งโยนเรื่องให้ ‘พรรคภูมิใจไทย’ เพื่อทำให้สอดคล้องกัน โดยเน้นย้ำปัญหาว่า การจะทำประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เมื่อไหร่ และจะรวมกันหรือไม่ ซึ่งเราเห็นว่า การทำประชามติตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามตินั้น จะกระทำได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลด้วย ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่ต้องไปคิดเรื่องนี้
ทั้งยังควรเดินหน้าสู่การจัดทําประชามติรอบที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป ที่จะเกิดขึ้นจากการยุบสภาภายใน 4 เดือน หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ เข้าปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะกระทําการได้หลังจากที่รัฐสภาพิจารณา และให้ความเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เพื่อเพิ่มกลไกในการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ด้าน ‘พรรคภูมิใจไทย’ จึงรับลูกด้วยการแต่งตั้งคณะทำงานเตรียมการพิจารณาการจัดทำประชามติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560
แต่เป็นที่รู้กันดีว่า ฉายา ‘ภูมิใจขวาง’ นี้ ไม่ได้มาจากการสาดโคลนปั้นวาทกรรมกันลอยๆ กลับเป็นเพราะมีการแสดงออกมาตลอดกระบวนการ ตั้งแต่ยังเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย หรือก่อนหน้านั้น หนำซ้ำคนในพรรคก็ไม่ได้มีผู้เชี่ยวชาญ หรือความพยายามจะอยากแก้ไขมาตั้งแต่ต้น
ทำให้หลายคนเกิดข้อกังขาว่า พรรคภูมิใจไทยมีความจริงใจมากแค่ไหนในการทำเรื่องนี้ เพราะน้อยที่สุด ก็ยังคงมีบ่วง MOA ที่เคยทำร่วมกับพรรคประชาชน พร้อมรับปากกันมั่นเหมาะว่าจะต้องได้เริ่มแก้รัฐธรรมนูญ
นี่ยังไม่นับรวมเหล่า ‘สว.สีน้ำเงิน’ ที่อาจจะเข้ามามีบทบาทด้วย เพราะหากพรรคภูมิใจไทยเดินตามพรรคประชาชนโหวตให้ แต่เล่นตุกติกไม่นำ สว.สีน้ำเงินเข้าร่วม อาจจะทำให้เสียง สว.เห็นชอบไม่ถึง 1 ใน 3 ซึ่งจะทำให้สุดท้ายแล้ว ไม่สามารถดำเนินการได้ทัน หรือร้ายที่สุด คือทำให้กระบวนการหยุดชะงัก
ขณะที่พรรคเพื่อไทยดูจะมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า จำเป็นที่จะต้องเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ใหม่ ให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และเพื่อให้มีทางออกที่ดีที่สุด ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการคิด ช่วยกันจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไปในอนาคต
“พรรคเพื่อไทยยินดี และอยากแสดงความตั้งใจว่า อยากให้มีความร่วมมือกัน ระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา แต่ขณะนี้ ยังไม่มีองค์กรใดแสดงความต้องการ หรือแสดงความริเริ่มในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการจัดทำประชามติก่อน”
ล่าสุด นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน ได้มีการหารือร่วมกันในกรรมาธิการกับ พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย สว. (กลุ่มพันธุ์ใหม่) กกต. และสำนักกฎหมาย สภาฯ
ก่อนเปิดเผยถึงข้อสรุปว่า ทั้ง 3 พรรคเห็นตรงกันว่า สามารถเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยทำประชามติ 2 รอบ ด้วยการเริ่มต้นให้รัฐสภา พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 เกี่ยวกับกลไกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
และเห็นตรงกันว่า สามารถดำเนินการได้ทันตามกรอบเวลา “สมมุติว่า หากมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในช่วงปลายเดือนกันยายน จะหมายความว่า ต้องมีการยุบสภาภายในปลายเดือนมกราคม ซึ่งทุกพรรคเห็นตรงกันว่า เราสามารถเดินหน้ายื่นและพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15 ได้เลย และเมื่อผ่านวาระ 1 ไปแล้ว คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จ สามารถส่งกลับมาได้ในวาระที่ 2 ช่วงเดือนธันวาคม จะทำให้เราสามารถให้ความเห็นชอบในวาระที่ 3 ได้ภายในปลายเดือนธันวาคม ซึ่งทำให้เรามีเวลาในเดือนมกราคม ที่จะสามารถเคาะวันการจัดทำประชามติ เพื่อเกิดขึ้นพร้อมกับเมื่อมีการยุบสภาภายในไม่เกินปลายเดือนมกราคม ซึ่งเป็นไปตามกรอบระยะเวลา 4 เดือน ที่จะสามารถจัดทำประชามติรอบแรก พร้อมกับการเลือกตั้งได้” นายพริษฐ์กล่าว
อีกทั้งได้ให้โจทย์กับแต่ละพรรค ในการทบทวนหรือจัดทำร่างใหม่ ที่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมตั้งเป้าว่า ในสัปดาห์หน้าจะให้ทั้ง 3 พรรคนี้ มานำเสนอแนวคิด หรือร่างตัวเอง ในกรรมาธิการก่อน
นอกจากนั้นยังเรียกร้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญว่า ควรเร่งออกคำวินิจฉัยกลาง และคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของทั้ง 9 ตุลาการมาโดยเร็ว ซึ่งกรรมาธิการมีมติทำหนังสือส่งไปแล้ว
การที่พรรคประชาชนดูมั่นใจว่าจะหาทางเดินต่อได้ในสถานการณ์เช่นนี้ เนื่องจากได้รับคำยืนยันชัดเจนจากคนในพรรคภูมิใจไทยเอง แม้จะไม่ได้มีการคุยกับ สว.สีน้ำเงินโดยตรงก็ตาม
พร้อมยังมีการดักทาง เพื่อป้องกันข้ออ้างอื่นใดอีก ด้วยการตั้งคำถามประชามติ ตามความเห็นก่อนหน้านี้ ของศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และว่าที่รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี
คือ 1.ท่านเห็นชอบให้จัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นใช้แทนรัฐธรรมนูญ 2560 หรือไม่ หากตอบไม่เห็นชอบ ไม่ต้องตอบข้อ 2 และ 2.หากท่านเห็นชอบให้ทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ ท่านให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรมนูญที่แนบมาพร้อมนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เราคงต้องรอดูรายละเอียดในคําวินิจฉัยฉบับเต็มก่อน ว่าจะมีการตีความไปนอกเหนือจากนี้หรือไม่ และต้องเกาะติดตามว่า ร่างแก้ไขใหม่ของทั้ง 3 พรรคการเมือง จะปรากฏเป็นรูปร่างในสัปดาห์หน้าเลยไหม และในแต่ละร่างจะมีข้อเสนออะไรบ้างต่อไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปชน. ค้านนัดโหวตแก้ รธน. วาระ 3 หลังปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ
"ณัฐวุติ" ย้ำโหวตแก้ รธน. วาระ 3 ต้องเสร็จก่อนปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ เสี่ยงผิด MOA เชื่อไม่มีเงื่อนไขให้ สว. ควํ่าวาระ 3 เผย หลังโหวตเสร็จ ปชน. เตรียมชง 2 คำถามประชามติให้สภาฯ เคาะทันที
'วันนอร์' นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้รัฐธรรมนูญ วาระ 2
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้มีคำสั่งให้นัดประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ ระหว่างวันที่ 10 ธ.ค. และ ครั้งที่2 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ วันที่ 11 ธ.ค. เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ... ในวาระสอง ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.)
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม
ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก


