'ทักษิณ' ติดคุก พท.ล่มสลาย?

 

“หากมีคำตัดสินว่าฝ่าฝืนมาตรา 144 สส.เขตของพรรคเพื่อไทยอาจถูกลงโทษให้พ้นจากตำแหน่ง และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปีทั้งหมด เท่ากับ 'ตายยกแผง' คล้ายกรณีของ 'พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน' อดีต สส.เชียงราย ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจถึงขั้นสูญเสียฐานเสียงในระบบเขตเลือกตั้งเกือบทั้งหมด”

ภายหลัง "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินให้จำคุก 1 ปี  ในคดี “ชั้น 14” ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงการรับโทษโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน “แพทองธาร ชินวัตร” ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากกรณี “คลิปเสียงอังเคิล”

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดคำถามใหญ่ในวงการเมืองและสังคมว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถฟื้นคืนชีพและกลับมาครองอำนาจได้อย่างยิ่งใหญ่ดังเดิม หรือกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุค “ล่มสลาย” หลังสูญเสียผู้นำเชิงสัญลักษณ์ไป

ซึ่งภายหลังศาลฎีกาฯ มีคำตัดสิน "ทักษิณ" ก็ได้โพสต์ข้อความแสดงจุดยืนบนสื่อสังคมออนไลน์ว่า “ผมตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ เพื่อส่งกำลังใจให้ทุกคนเดินไปข้างหน้า ทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ด้วยอุดมการณ์และจิตวิญญาณที่เรามีร่วมกันมา จนกว่าจะถึงวันที่เราได้เดินร่วมทางกันอีกครั้ง”

พร้อมยืนยันว่าแม้จะสูญเสียอิสรภาพ แต่ยังมีเสรีภาพทางความคิดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และจะรักษาความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้เวลาที่เหลือรับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แผ่นดินไทย และประชาชน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม

ส่วน “แพทองธาร” แม้จะพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เจ้าตัวยังคงยืนหยัดนำพรรคในฐานะหัวหน้าพรรค โดยสั่งการให้ สส.พรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง และประกาศความพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญนำพาพรรคไปสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไป

ขณะเดียวกัน "ภูมิธรรม เวชยชัย" อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้พยายามปลุกขวัญกำลังใจสมาชิกและผู้สนับสนุน โดยยกย่อง “ทักษิณ” เป็น “วีรบุรุษประชาธิปไตย” พร้อมกล่าวว่า

พรรคเพื่อไทยไม่ต้องกังวล เราจะอยู่และพัฒนาไปโดยรักษาฐานเสียงที่ยังนิยมชมชื่น ไม่ต้องกังวลว่าจะมีงูเห่า หรือมีคนย้ายพรรค เพราะเส้นทางการเมืองเป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่จะตัดสินใจ”

อย่างไรก็ดี แม้แกนนำพรรคพยายามปลุกพลังความหวัง แต่ความเป็นจริงบนสมรภูมิการเมืองกลับโหดร้ายยิ่งกว่าเดิม เพราะปัจจุบันการเมืองไทยเปลี่ยนเข้าสู่ยุคของคนรุ่นใหม่ พรรคเพื่อไทยที่เคยรุ่งเรืองในอดีตไม่อาจพึ่งพาเพียงบารมีของ “นายใหญ่” หรือผลงานในอดีตได้อีกต่อไป ขณะเดียวกันสัญญาณทางการเมือง หรือที่เรียกว่า "พลังพิเศษ" ก็ไม่เอื้ออำนวยให้ระบอบทักษิณ

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยถูกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และการบริหารประเทศที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ความนิยมลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงมีฐานเสียงดั้งเดิมที่เหนียวแน่นในบางพื้นที่ก็ตาม

 ไม่เพียงเท่านั้นยังมี “บ่วงคดี” ไล่ล่าต่อเนื่อง โดยล่าสุด กลุ่ม คปท. (เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย) กองทัพธรรม และ ศปปส.ได้รวมตัวกันยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. เรียกร้องให้เร่งดำเนินคดีกับข้าราชการที่มีส่วนช่วยให้ทักษิณได้ไปพักรักษาตัวบนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ

พิชิต ไชยมงคล” แกนนำ คปท. ได้สรุปข้อเรียกร้อง 3 ประเด็นหลัก คือ 1.ขยายผลหาผู้ร่วมกระทำผิดเพิ่มเติม  โดยเฉพาะ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเพิกเฉยต่อคำร้องตรวจสอบอาการป่วยของทักษิณ ทั้งที่ คปท.เคยยื่นเรื่องไปหลายครั้ง

2.เร่งสรุปสำนวนและฟ้องร้องข้าราชการ 12 คน ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้วโดยเร็ว 3.ดำเนินคดีเพิ่มเติมกับ "ทักษิณ" ในข้อหาเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อช่วยเหลือตนเองไม่ให้ถูกบังคับโทษในเรือนจำ

นอกจากนี้ ยังต้องจับตาว่า "อัยการสูงสุด" จะยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ต่อทักษิณหรือไม่ หลังจากศาลอาญาชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง ในคดีให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศที่มีลักษณะหมิ่นเหม่ต่อสถาบันเบื้องสูง

สำหรับ "แพทองธาร" แม้ล่าสุด กกต.จะรับรองว่ายังดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้ แต่จุดอ่อนสำคัญคือไม่สามารถรับตำแหน่งทางการเมืองได้ 

อีกทั้งยังมีคดีใหญ่รอการพิจารณาหลายคดี ทั้งคดีคลิปเสียงที่ ป.ป.ช.ตั้งคณะกรรมการไต่สวน ปมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงเอาไว้แล้ว รวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดินอัลไพน์ คดีเลี่ยงภาษีผ่านนิติกรรมอำพราง เช่นกรณีตั๋ว PN และคดีบุกรุกพื้นที่ต้นน้ำลำธารของโรงแรมในครอบครัวที่เขาใหญ่

ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยยังขาดแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ชัดเจน ทั้ง 3 รายชื่อที่ถูกพูดถึงยังไม่สามารถตกผลึกได้ และ "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" ผู้ว่าฯ กทม.ก็ปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าจะไม่มานำทัพพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้ง

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อวันที่ 28 กันยายน กำลังจะมีการเลือกตั้งซ่อมในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เคยถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องพฤติกรรมสมยอมต่อผลประโยชน์จากประเทศเพื่อนบ้าน

หากพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถกอบกู้วิกฤตได้ แต่ยังเสี่ยงให้ สส.ภายในพรรคทยอยย้ายไปสังกัดพรรคที่มีความพร้อมและโอกาสชนะเลือกตั้งมากกว่า

นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญความเสี่ยงครั้งใหญ่ หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติรับเรื่องกล่าวหากรณีเกี่ยวข้องกับการจัดทำและบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง วงเงินมหาศาล 51,584 ล้านบาท

 โดยผู้ถูกกล่าวหาประกอบด้วย 1.สส.แบบแบ่งเขตของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด 2.“สาโรจน์ หงษ์ชูเวช” อดีตผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย 3.“พิษณุ หัตถสงเคราะห์” อดีต สส.พรรคเพื่อไทย 4.“จักรพงษ์ แสงมณี” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และ 5.ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงบประมาณ

โดย ป.ป.ช.ระบุว่า ผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์เข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง โดยใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปสั่งการ บังคับ หรือแทรกแซงกระบวนการจัดทำและอนุมัติงบประมาณ รวมถึงการบริหารงบประมาณ "ปี 2568" ผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตนเอง ผู้อื่น หรือพรรคการเมือง โดยเฉพาะงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นหรือไม่

แม้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งมี "นายภูมิธรรม" ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีมติยกเลิกการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการนี้จำนวน 7.4 พันล้านบาท แต่ก็อาจ "สายเกินไป" เพราะหากการอนุมัติงบประมาณและการสั่งการเกิดขึ้นแล้ว ก็ถือว่าความผิดสำเร็จตามกฎหมาย

หากท้ายที่สุด ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และหากมีคำตัดสินว่าฝ่าฝืนมาตรา 144  สส.เขตของพรรคเพื่อไทย อาจถูกลงโทษให้พ้นจากตำแหน่งและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปีทั้งหมด

เท่ากับ "ตายยกแผง" คล้ายกรณีของ “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” อดีต สส.เชียงราย ที่ถูกตัดสิทธิในลักษณะเดียวกัน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงพรรคเพื่อไทยจะถูกกระทบอย่างรุนแรง และอาจถึงขั้นสูญเสียฐานเสียงในระบบเขตเลือกตั้งเกือบทั้งหมด

สติธร ธนานิธิโชติ” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า พรรคเพื่อไทยในระยะสั้นยังฟื้นตัวยาก เพราะระยะเวลา 1 ปีที่ทักษิณถูกคุมขังนั้นตรงกับไทม์ไลน์ทางการเมืองที่กำหนดไว้ในข้อตกลง (MOA) ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน ซึ่งวางกรอบ 4 เดือนยุบสภา จากนั้น 60 วันจัดการเลือกตั้ง และอีก 2 เดือนประกาศผลเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่  นายใหญ่ก็ยังไม่พ้นโทษออกมา

แปลว่าบทบาทของพรรคเพื่อไทย แม้จะยังอยู่บนหน้ากระดานการเมืองในสนามเลือกตั้ง แต่อาจจะไม่เข้มแข็งหรือแข็งแกร่งมากพอ ดังนั้นการเมืองก็น่าจะชัดว่า เป็นการแข่งกันระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน เป็นสองพรรคใหญ่ และมีพรรคอื่นๆ ที่เป็นพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กอีกจำนวนมาก โดยน่าจะเป็นระบบที่มีหลายพรรคแข่งกันมาก”

"นักรัฐศาสตร์" ยังชี้ว่า ปรากฏการณ์ “สส.ไหลออก” อาจยังไม่เกิดขึ้นทันทีในช่วง 4 เดือนนี้ แต่เมื่อยุบสภาและมีกำหนดวันเลือกตั้งชัดเจน สส.ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแบรนด์พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะในระบบเขต จะเริ่มตัดสินใจย้ายไปพรรคที่มีศักยภาพและความพร้อมกว่า เพื่อเพิ่มโอกาสชนะเลือกตั้งกลับเข้าสภา

จึงต้องจับตาสถานการณ์การเมืองหลังจากนี้ว่า ระบอบทักษิณจะเพียงแค่ “หมอบรอวันฟื้น” หรือจะ “ล่มสลาย” จนเหลือเพียงตำนานและความทรงจำในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยเท่านั้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2

'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน

คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า

ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม

ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

‘เอ็ดดี้’ จี้ ‘เพื่อไทย-ส้ม’ อย่าดีแต่ปาก กลัวอะไรอยู่ ยื่นซักฟอกเลย

  เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความว่า เห็นขู่กันฮึ่มๆ ว่าจะจะยื่นญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพราะรัฐบาลไม่น่าไว้วางใจ