ดีขึ้น! 'กสิกรไทย' ชี้ครัวเรือนไทยกังวลค่าใช้จ่ายและราคาสินค้าลดลง

ดัชนี KR-ECI เดือนก.พ. 66 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันครัวเรือนไทยมีความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและราคาสินค้าลดลง

12 มี.ค. 2566 – ในเดือนก.พ. 66 ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนในปัจจุบันและดัชนี 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องที่ 36.6 และ 38.6 จาก 35.1 และ 37.8 ในเดือนม.ค. 66 โดยครัวเรือนยังคงความกังวลแต่มีระดับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าจากมุมมองที่ดีขึ้นเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและราคาสินค้าที่ชะลอลงสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อไทยเดือนก.พ. 66 อยู่ที่ระดับ 3.79%YoY เป็นผลจากราคาสินค้าหมวดอาหารสดที่ลดลง เช่น เนื้อสัตว์ ผักสดและผลไม้ และราคาพลังงานที่ชะลอลงตามตลาดโลก

นอกจากนี้ ในเดือนมี.ค. 66 ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับลดลงมาอยู่ที่ 34 บาทต่อลิตร หลังจากถูกตรึงให้อยู่ระดับ 35 บาทต่อลิตรมานาน 7 เดือน อีกทั้ง ภาครัฐยังคงให้การอุดหนุนราคาน้ำมันดังกล่าว เช่น การขยายเวลาลดภาษีน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาทออกไปถึงเดือนพ.ค. 66 สำหรับภาคการท่องเที่ยวที่ถือได้ว่าเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังคงสะท้อนถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและหนุนให้ครัวเรือนมีมุมมองที่ดีเกี่ยวรายได้และการจ้างงานโดยอัตราการว่างงานเดือนม.ค.66 อยู่ที่ 1.2%YoY ขณะที่สาขาที่มีจำนวนผู้ทำงานเพิ่มขึ้น เช่น การขายส่งและขายปลีก ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ทั้งนี้ ในเดือนม.ค. 66 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยมีจำนวนมากกว่า 2 ล้านคนเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศก็สามารถขยายตัวได้แข็งแกร่ง โดยเดือนม.ค.66 การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของชาวไทยมีจำนวน 15.84 ล้านคน-ครั้ง (64.9%YoY) และสร้างรายได้กว่า 70,328.9 ล้านบาท (47.3%YoY)

อย่างไรก็ตาม ครัวเรือนมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาระหนี้ในระยะข้างหน้า สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในประเทศจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยขณะนี้มีอัตราอยู่ที่ 1.50% ต่อปี ซึ่งเป็นต้นทุนทางการเงินของครัวเรือนจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองว่า หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในปี 2566 อาจชะลอตัวลงมาที่กรอบ 84.0-86.5% แต่ภาระหนี้ที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูงอาจเป็นข้อจำกัดในการเติบโตของการบริโภคภาคครัวเรือนในอนาคต

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สอบถามครัวเรือนเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสนใจในการเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 5 พบว่า ครัวเรือนส่วนหนึ่งยังคงให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ขณะที่ครัวเรือนกลุ่มที่ยังไม่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ระบุว่า ยังไม่อยากใช้จ่ายมากนักในช่วงเวลาที่ค่าครองชีพยังอยู่ในระดับสูง (53.1%) สะท้อนครัวเรือนยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลอื่น ได้แก่ สิทธิมีจำนวนจำกัดจึงคาดว่าจะจองสิทธิไม่ทัน (27.0%) ที่พักที่สนใจไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ (12.0%) และโครงการในเฟสนี้ไม่มีการให้สิทธิค่าเครื่องบินจึงไม่จูงใจเท่าที่ควร (7.9%) โดยผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนว่า ระดับค่าครองชีพในปัจจุบันยังส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจใช้จ่ายในสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อครัวเรือน

ในระยะข้างหน้า ดัชนี KR-ECI มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องจากปัจจัยหนุนในเรื่องของการท่องเที่ยวที่จะเข้ามาหนุนการจ้างงานและรายได้ ประกอบกับมุมมองที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจีนยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด และเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนมีโอกาสจะเผชิญภาวะถดถอยไม่รุนแรงหรือล่าช้ากว่าที่เคยคาดการณ์ ซึ่งอาจลดผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะผ่านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามความเสี่ยงอีกหลายด้าน ทั้งค่าครองชีพที่ชะลอลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น (โดยคาดว่าปี 2566 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับมาอยู่ที่ 1.75%-2.00%) ซึ่งจะเข้ามากดดันกำลังซื้อของครัวเรือน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศูนย์วิจัยกสิกร คาดดิจิทัลวอลเล็ต ดันยอดขายค้าปลีกโต 1%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยแพร่บทวิเคราะห์ โครงการ Digital Wallet โดยชี้ จะส่งผลต่อยอดค้าปลีกมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็น การกำหนดพื้นที่ และประเภทร้านค้า นอกเหนือจากประเด็นทางด้านกฎหมาย รวมถึงระบบใช้งานของแอปพลิเคชัน ที่ยังต้องรอติดตามว่า จะใช้ที่ไหน อย่างไร? ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ อาจส่งผลต่อร้านค้าปลีก และพฤติกรรมการใช้เงินของผู้บริโภคที่ต่างกัน ดังนี้