"กนง." สั่งขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% มองตั้งรัฐบาลใหม่ยังประเมินยาก

2 ส.ค. 2566 – นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน เมื่อวันที่2ส.ค.2566มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 2.00%เป็น 2.25% ต่อปี โดยให้มีผลทันที โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกสินค้าหดตัวในระยะสั้น ส่วนหนึ่งตามเศรษฐกิจจีนและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ฟื้นตัวได้ช้าแต่คาดว่าจะปรับดีขึ้นในระยะข้างหน้าสอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น ทั้งจากภาคการส่งออกสินค้าที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าคาด รวมถึงสถานการณ์การเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

“การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้ ไม่ได้สร้างเซอร์ไพรสให้กับตลาด เพราะน่าจะเป็นไปตาที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์ ดังนั้นคาดว่าธนาคารพาณิชย์ก็คงจะส่งผ่านต้นทุนไปยังลูกค้าของธนาคารบ้างตามที่ควรจะเป็นเหมือนที่ผ่านมา” นายปิติ กล่าว

นายปิติ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่ ส.ค. 2565 กนง. ได้ดำเนินการถอนคันเร่งนโยบายการเงิน ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปมาระยะหนึ่ง ซึ่ง ณ จุดนี้ กนง. มองแล้วว่าเข้าใกล้จุด Neutral Rate มากขึ้น (จุดที่อัตราดอกเบี้ยแท้จริงไม่ติดลบ) ซึ่งถือว่าถอนคันเร่งจนเกือบหมดมากขึ้น ดอกเบี้ยนโยบายใกล้จุดที่เป็นบวกแล้ว การขึ้นอัตราดอกเบี้ยแท้จริงเริ่มเข้ามาในโซนบวก และการเข้าใกล้จุดดังกล่าวก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่มองว่า กนง. จะหยุดอยู่ที่ไหน ซึ่งจะเป็นภาวะการเงินที่เราจะอยู่ไปสักพัก เพราะเศรษฐกิจเรากำลังฟื้นเข้าสู่ระดับศักยภาพ ไม่ได้เกินศักยภาพเหมือนต่างประเทศ ภาพใหญ่กำลังเข้าสู่จุดที่ควรจะเป็น จากนี้บริบทที่ต้องดูว่าคือผลระยะกลางและระยะยาวจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดนโยบายการเงินมากขึ้น ส่วนภาพระยะสั้นมีความไม่แน่นอนเยอะ ทั้งเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนในประเทศ โดยการประชุมครั้งต่อไปก็ต้องดูความชัดเจนของแนวโน้มเศรษฐกิจ แต่ ณ ตอนนี้ไม่ได้มีการปักหมุดอะไรชัดเจนว่าจะต้องทำอะไรในการประชุมรอบหน้า แม้ว่าหลายอย่างเริ่มเข้ามาสู่จุดที่เริ่มจะลงตัวมากขึ้นแล้ว

สำหรับภาพรวมข้อมูลใหม่ที่เข้ามา คือ แนวโน้มเศรษฐกิจระยะสั้นแผ่วลงบ้าง ซึ่งคาดว่าจะสะท้อนออกมาในประมาณการรอบต่อไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปีนี้ลดลง แต่ กนง. จะให้หนักหนักในการมองแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้าเป็นหลัก ส่วนภาพการส่งออกที่ผ่านมาแย่กว่าที่คาดระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นผลจากทั้งปัจจัยชั่วคราวและปัจจัยเชิงโครงสร้าง ซึ่งอาจมีผลกับเศรษฐกิจในระยะสั้นบ้าง แต่เชื่อว่าข้างหน้าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง แง่นักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะกว่าที่คาดการณ์ แต่เม็ดเงินในการใช้จ่ายน้อยกว่าที่ประเมินเล็กน้อย ตรงนี้มองว่าเป็นปัจจัยระยะสั้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ ในเดือน มิ.ย.-ก.ค. เชื่อว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำ แต่มองว่าแนวโน้มในครึ่งปีหลัง และในปี 2567 นั้น เงินเฟ้อจะค่อย ๆ ปรับขึ้นมาอีกครั้ง

ส่วนประเด็นเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบกับสถานการณ์หนี้ครัวเรือนหรือไม่นั้น นายปิติ ระบุว่า หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับที่สูงมานาน สิ่งที่ กนง. ดูมาตลอด คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีผลต่อภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทั้งของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจหรือไม่ จึงเป็นเหตุผลหลักที่ดำเนินนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยสิ่งที่ กนง. ต้องดูแล คือภาพรวมเศรษฐกิจให้อยู่ในแนวโน้มที่สอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อและเศรษฐกิจระยะปานกลาง และเห็นว่าปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเฉพาะที่เครื่องมืออื่น ๆ ซึ่งทาง ธปท. ได้ออกมานั้น จะช่วยดูแลปัญหานี้ได้แบบเฉพาะจุดมากขึ้น เพราะหนี้ครัวเรือนไม่ได้เป็นปัญหาที่แก้ได้ด้วยการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยตรง

นอกจากนี้ ในส่วนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ยังต้องรอดูความชัดเจนต่อไป เป็นปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนสูง และยังดูไม่ออก แต่ภาพรวมทุกฝ่ายทราบดีว่าระยะเวลาความไม่แน่นอนยิ่งทอดยาวไกลออกไปยิ่งไม่ดีต่อการลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยหวังว่ากระบวนการตรงนี้จะดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็ว

“การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ซึ่งคาดว่าจะช้า 2 ไตรมาส คือไตรมาส 1/2567 จากเดิมคิดว่าแค่ 1 ไตรมาส จะมีผลต่อ 2 ส่วน คือการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งในแง่ของงบรายจ่ายประจำจะยังไปได้ แต่ตัวที่จะถูกกระทบคือการลงทุนภาครัฐที่อาจจะต้องชะลอโครงการ ซึ่งเม็ดเงินตรงนี้เมื่อเทียบกับสัดส่วนจีดีพีอาจจะไม่เยอะจนทำให้ภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนไปมาก แต่ส่วนที่จะมีน้ำหนักเยอะกว่า คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศ จะเป็นตัวแปลหลักที่อาจกระทบกับเศรษฐกิจมากกว่า ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนกันต่อไป” นายปิติ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อ.หริรักษ์' ป้องกนง.ขึ้นดอกเบี้ย เตือนนายกฯ ปลดผู้ว่าฯธปท.เกิดผลเสียมากกว่าผลดี

'อ.หริรักษ์' เชื่อกนง.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต้องมองในภาพรวมแล้ว จะมีผลบวกมากต่อเศรษฐกิจมากกว่าลดอัตราดอกเบี้ย เตือนนายกฯคิดรอบคอบ ปลดผู้ว่าฯธปท.จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี

'สนธิรัตน์' ชี้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1.00% ต่อปี หากกดค่าเงินบาทได้ จะเป็นผลดีต่อการนำเข้าน้ำมัน

'สนธิรัตน์' ชี้ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เป็น 1.00% ต่อปี หากกดค่าเงินบาทได้ จะเป็นผลดีต่อการนำเข้าน้ำมัน แต่หากค่าเงินยังแข็งขึ้น ก็ต้องซื้อน้ำมันราคาสูงเหมือนเดิม

เอกชนผวาบาทอ่อน จับตา กนง. เคาะดอกเบี้ยวันนี้

ส.อ.ท. จับตาการประชุม กนง. 28 ก.ย.นี้ หวังเคาะทยอยขึ้นดอกเบี้ย แบบค่อย ๆ ขยับที่ 0.25% รับหากไม่ทำอะไรเลยอาจหนุนค่าเงินบาทอ่อนได้ต่อเนื่อง และอาจทะลุ 39บาทต่อเหรียญฯ หลังเฟดส่งสัญญาณขยับดอกเบี้ยต่อเนื่องถึงสิ้นปี

กรุงไทยประเมิน กนง. มีสิทธิขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25-0.50% ในช่วงที่เหลือของปีนี้

นายฉมาดนัย มากนวล นักวิเคราะห์จาก Krungthai COMPASS ระบุว่า กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ในการประชุมครั้งที่ 4/2022 ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 0.25 ต่อปี สู่ระดับร้อยละ 0.75 ต่อปี

กนง.เคาะลดจำนวนประชุมนโยบายการเงินเหลือ6ครั้ง/ปี

“กนง.” มีมติลดจำนวนประชุมนโยบายการเงิน เหลือปีละ 6 ครั้ง จากเดิม 8 ครั้ง ระบุข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากในช่วงสั้น พร้อมช่วยลดภาระการคาดเดาของตลาดการเงิน