‘พาณิชย์’ เผยตั้งบริษัทใหม่ ก.ค.66 จำนวน 6,848 ราย เพิ่ม 16.90% เป็นยอดเฉพาะเดือนสูงสุด 10 ปี ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 ทุนจดทะเบียน 16,648.21 ล้านบาท ส่วนยอดเลิก 1,867 ราย เพิ่ม 21% รวม 7 เดือน ตั้งใหม่ 54,134 ราย เพิ่ม 17.28% เหตุท่องเที่ยวฟื้น ธุรกิจเกี่ยวเนื่องโตแรง และยอดเลิก 8,964 ราย เพิ่ม 18.70% สูงสุดในรอบ 10 ปี เหตุธุรกิจปรับตัวตามสภาพแวดล้อมการทำธุรกิจ
21 ส.ค. 2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจดทะเบียนธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ประจำเดือน ก.ค.2566 ว่า มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 6,848 ราย ลดลง 10.20% เมื่อเทียบกับ มิ.ย.2566 และเพิ่มขึ้น 16.90% เมื่อเทียบกับ ก.ค.2565 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 16,648.21 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร
สำหรับธุรกิจเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 1,867 ราย เทียบกับ มิ.ย.2566 เพิ่ม 12.54% เทียบกับ ก.ค. 2565 เพิ่ม 21% มีมูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการ 7,527.92 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร
ปัจจุบันมีธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ วันที่ 31 ก.ค.2566 จำนวน 886,796 ราย มูลค่าทุน 21.47 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 203,802 ราย คิดเป็น 22.98% บริษัทจำกัด จำนวน 681,581 ราย คิดเป็น 76.86% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,413 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า การจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือน ก.ค.2566 ที่มีจำนวน 6,848 ราย เป็นการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สูงสุดในรอบ 10 ปี เป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน เมื่อดูเฉพาะเดือน ก.ค.2557-2566 ส่วนยอดรวม 7 เดือน มีจำนวน 54,134 ราย เพิ่ม 17.28% มีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเติบโต ช่วง 7 เดือนตั้งใหม่เพิ่ม 71.45% เป็นธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพิ่ม 218% ตัวแทนธุรกิจการเดินทาง เพิ่ม 158% ธุรกิจจัดนำเที่ยว เพิ่ม 132% ธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร เพิ่ม 53.32% และธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และห้องชุด เพิ่ม 45.06% มีสัดส่วนคิดเป็น 7.94% ของจำนวนธุรกิจที่จัดตั้งทั้งหมดในช่วง 7 เดือนปี 2566
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจน่าจับตามองที่เติบโตกว่า 100% เช่น ธุรกิจขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืช เพิ่ม 223% เป็นผลมาจากนโยบาย BCG Model ของรัฐบาลที่ส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวรักษ์โลก ธุรกิจบริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง เพิ่ม 209% เป็นผลมาจากธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และห้องชุดที่กลับมาฟื้นตัวตามภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจการปลูกพืชประเภทเครื่องเทศเครื่องหอมยารักษาโรคและพืชทางเภสัชภัณฑ์ เพิ่ม 2.02% เป็นผลมาจากนโยบายกัญชาทางการแพทย์ และธุรกิจให้เช่าและให้เช่าแบบลิสซิ่งยานยนต์ เพิ่ม 174% มาจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตและภาคธุรกิจที่นิยมการเช่ารถยนต์กันมากขึ้น
สำหรับการจดทะเบียนเลิกธุรกิจ 7 เดือนปี 2566 ที่มีจำนวน 8,964 ราย เพิ่ม 18.70% เป็นการจดทะเบียนเลิกธุรกิจ 7 เดือนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี (ปี 2557-2566) ส่วนหนึ่งอาจมาจากธุรกิจมีการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป ทำให้มีการปรับธุรกิจเพื่อเข้าสู่ตลาด ซึ่งจะเห็นได้จากการจดจัดตั้งใหม่ที่สูงและการจดเลิกธุรกิจก็สูงเช่นกัน
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น กรมคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 32,000-39,000 ราย และตลอดทั้งปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 79,000–86,000 ราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ก.ก.แตะ'ทักษิณ'แค่ผิว ปชป.ติดหล่มร่วมรัฐบาล
การอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ระหว่างวันที่ 3-4 เม.ย. ถือเป็นเวทีของฝ่ายค้าน นำโดย พรรคก้าวไกล และ พรรคประชาธิปัตย์ สังคมคาดหวังจะมีการเปิดแผลให้รัฐบาลก่อนปิดสมัยประชุม 9 เม.ย.นี้
‘พาณิชย์’ลุยอีสานต่อ จัดธงฟ้าอุบลราชธานี
“พาณิชย์” เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ลดค่าครองชีพให้พี่น้องประชาชนภาคอีสาน
กกพ.เปิดรับฟังค่าเอฟที3แนวทาง
“พีระพันธุ์” สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดูแลระบบผลิตไฟให้เพียงพอไม่ให้เกิดไฟฟ้าดับ
มั่นใจราคาค่าไฟ ไม่เกิน4.18บาท ดัชนีเชื่อมั่นขยับ
“พีระพันธุ์” มั่นใจ ราคาค่าไฟช่วงเดือน พ.ค.-ส.ค. ไม่สูงกว่าปัจจุบัน
'จุรินทร์' ซัดรัฐบาลทำงานไม่ทันฝ่ายนิติบัญญัติ โยนถามก้าวไกลเรื่องซักฟอก
“จุรินทร์” ซัดรัฐบาลทำงานไม่ทันฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนการอภิปรายจะมีหรือไม่อยู่ที่ก้าวไกลเพราะ ปชป.เสียงไม่พอ
'ท็อป' ยันไร้กระแสปรับคณะรัฐมนตรี!
'วราวุธ' ยันไร้กระแสปรับ ครม. มุ่งทำงานเต็มที่ให้คุ้มภาษีประชาชน เชื่อหากนายกฯ ตัดสินใจปรับ ครม. คงต้องคำนึงถึงประโยชน์ประเทศ-ปัญหาสังคมตอนนั้น