จับตา25 ก.ค.นี้ชงบอร์ดเคาะ 'วีริศ' นั่งเก้าอี้ผู้ว่า รฟท.

เปิดวิสัยทัศน์ ‘วีริศ’ว่าที่ผู้ว่ารถไฟฯ คนใหม่ ด้านคณะกรรมการสรรหาฯเตรียมชงบอร์ดเคาะผลการคัดเลือก25 ก.ค. 67 ด้าน ’วีริศ’เผยไม่กังวลเป็นคนนอก พร้อมเร่งพัฒนาองค์กร ผุดไอเดียเคลียร์หนี้สะสมหลักแสนล้าน เดินเครื่องไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 ก.ค. 2567) คณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีนายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) และกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหาฯ ได้กำหนดให้ผู้ที่ยื่นสมัครคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟฯ และผ่านการพิจารณาด้านคุณสมบัติ จำนวน 2 ราย คือ 1.นายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และ 2.นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เข้ารับการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์เพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟฯ ณ ห้องประชุมคณะกรรมการรถไฟฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อเวลา 13.00 น.

แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เปิดเผยว่า ภายหลังการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์เพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟฯ ในวันนี้ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้คัดเลือกให้นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟคนใหม่ แทนนายนิรุฒ มณีพันธ์ ที่ครบวาระไปแล้วเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาฯ เตรียมนำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฯ พิจารณาเห็นชอบในวันพรุ่งนี้ (25 ก.ค. 2567) ก่อนเข้าสู่กระบวนการอื่นๆ ต่อไป

ด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า รถไฟ และระบบราง ถือเป็นการขนส่งที่สำคัญของประเทศ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนหากตนได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรถไฟฯ คนใหม่ ยืนยันว่า จะช่วยพัฒนาองค์กร และระบบราง เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป เมื่อถามถึงกรณีกระแสข่าวเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งผู้ว่า กนอ. เป็นคู่สัญญากับการรถไฟฯ จะขัดต่อข้อกำหนดหรือกฎหมาย รวมถึงเป็นบุคคลภายนอก มีความกังวลในเรื่องนี้หรือไม่นั้น นายวีริศ กล่าวว่า ไม่กังวล เนื่องจากตนได้ศึกษามาเป็นอย่างดีว่า ไม่ขัดต่อข้อกำหนด ถึงได้เดินหน้าเข้ารับการคัดเลือกต่อ ส่วนเรื่องบุคคลภายนอกนั้น ไม่หนักใจ เพราะตนอยู่ที่ กนอ. ก็ได้รับความร่วมมือจากองค์กร สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

“ส่วนเรื่องหนี้สะสมของการรถไฟฯ ที่มีมูลค่าหลักแสนล้าน มีความกังวลหรือไม่นั้น นายวีริศ กล่าวว่า เมื่อสมัครเข้ามาทำหน้าที่ผู้ว่าการรถไฟฯ ก็มีความมุ่งมั่นที่จะเข้ามาแก้ปัญหา เชื่อว่า ทุกองค์กรก็จะมีอุปสรรคอยู่แล้ว รวมถึงการรถไฟฯ ได้มีการจัดทำแผนฟื้นฟูฯ และมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้ไว้ อย่างไรก็ตาม ในการแสดงวิสัยทัศน์วันนี้ ตนได้นำเสนอไอเดียในการแก้ไขปัญหาหนี้ต่อคณะกรรมการสรรหาฯ ซึ่งหากดำเนินการทั้งไอเดียของตน ร่วมกับแผนฟื้นฟูฯ และสามารถทำได้ ก็เชื่อว่า ในอนาคต การรถไฟฯ จะเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจที่มีความสำคัญ และมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น”นายวีริศ กล่าว

นายวีริศ กล่าวต่อว่า ในส่วนของเรื่องเร่งด่วนเมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟฯ นั้น คือ การดำเนินงานโดยให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน (PPP) รวมทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งถือเป็นโครงการระดับประเทศ ซึ่งตนพร้อมเข้ามาช่วยผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม เช่นเดียวกับโครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ทำให้การเดินทาง และการขนส่งทางรถไฟมีความตรงต่อเวลามากยิ่งขึ้น

ขณะที่นายอวิรุทธ์ กล่าวภายหลังการแสดงวิสัยทัศน์ในว่า ตนมีความพร้อมที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟฯ คนใหม่ 100% เนื่องจากตนทำงานที่การรถไฟฯ มากว่า 34 ปี มีประสบการณ์ในทุกสายงานของการรถไฟฯ ขณะเดียวกัน ในปัจจุบันได้ดำรงตำแหน่งในฝ่ายบริหาร ด้านการเดินรถ และยุทธศาสตร์ธุรกิจการเดินรถ ประกอบกับการเปิดเดินขบวนรถไฟระหว่างประเทศ เส้นทางสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ตนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวด้วย อีกทั้ง ในปัจจุบันการรถไฟฯ ได้ผ่าน U-Curve หรือจุดที่ย่ำแย่มาแล้ว หลังจากประสบมานานหลาย 10 ปี ซึ่งตนในฐานะ 1 ผู้บริหาร จึงมั่นใจว่า เข้าใจถึงการขนส่งระบบราง และทราบถึงแผนงานของการรถไฟฯ เป็นอย่างดี

“ผมมีความพร้อมที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟฯ คนใหม่ 100% เพราะผมเป็นคนรถไฟฯ ทำงานที่การรถไฟมาแล้ว 34 ปี ดูมาทุกสายงาน และตอนนี้มาดูด้าน Operation ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของงานของการรถไฟฯ อย่างการเปิดเส้นทางเดินขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปคำสะหวาด ก็อยู่ในสมัยของผมนี้” นายอวิรุทธ์ กล่าว

นายอวิรุทธ์ ยังกล่าวถึงอนาคตของการรถไฟฯ ว่า ที่ผ่านมา แม้การรถไฟฯ อาจจะล่าช้าไปบ้าง แต่หลังจากนี้ จะต้องเตรียมตัว และเตรียมความพร้อมทางรูปแบบธุรกิจ (Business Model) โดยเฉพาะการเปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน (PPP) มากขึ้น เนื่องจากการรถไฟฯ ไม่ต้องดำเนินการทุกอย่างเอง เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย, โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) และโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) หรือแลนด์บริดจ์ ตามนโยบายของรัฐบาล เป็นต้น ส่วนการสร้างทางรถไฟ และโครงการรถไฟทางคู่นั้น ถือเป็นอาชีพของการรถไฟฯ ที่ต้องทำอยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาการรถไฟฯ มีรายได้หลักจากการขนส่งผู้โดยสาร แต่หลังจากนี้จะต้องมุ่งเน้นสร้างรายได้จากการขนส่งสินค้ามากขึ้น สะท้อนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเดิมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว การรถไฟฯ มีรายได้จากการขนส่งสินค้าปีละประมาณ 1,500 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันมีรายได้ปีละ 2,200 ล้านบาท รวมทั้งมุ่งเน้นสร้างรายได้จากการเปิดเดินขบวนรถไฟท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นถึงโอกาส และได้รับความนิยมจากผู้โดยสาร โดยเฉพาะวัยเกษียณที่มีกำลังจ่ายสูง ซึ่งในอนาคตจะขยายการให้บริการขบวนรถไฟ KIHA จากปัจจุบัน 1 เที่ยวต่อสัปดาห์ เพิ่มเป็น 4 เที่ยวต่อสัปดาห์ และขบวนรถจักรไอน้ำ จาก 6 ครั้งต่อปี เพิ่มเป็น 12 ครั้งต่อปี

เพิ่มเพื่อน