โฮมโปร กวาดรายได้รวมครึ่งแรกปี 67 กว่า 3.7 หมื่นล้าน

โฮมโปร โชว์รายได้ครึ่งแรกปี 67 มีรายได้รวม 37,322.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168.29 ล้านบาท หรือ 0.45% โดยมีกำไรสุทธิ 3,334.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.55 ล้านบาท หรือ 3.20% โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-Receipt ของรัฐบาล และรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ของโฮมโปร และเมกาโฮม รวมถึงช่องทางออนไลน์ ทั้งยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าในช่วงไตรมาส 2 จะมีปัจจัยของสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และฤดูฝนที่มาเร็ว ซึ่งส่งผลให้ยอดขายปรับตัวลดลงก็ตาม

31 ก.ค. 2567 -นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (หุ้น HMPRO) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับครึ่งปีแรก เท่ากับ 3,334.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.55 ล้านบาท หรือ 3.20% โดยมีรายได้รวม จำนวน 37,322.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168.29 ล้านบาท หรือ 0.45%

ซึ่งที่มาของรายได้ประกอบไปด้วย รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 35,062.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในมูลค่า 49.71 ล้านบาท หรือ 0.14% มีปัจจัยจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ Easy E-Receipt ของทางรัฐบาล รวมถึงการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ของโฮมโปร และเมกาโฮม ทั้งยังมีช่องทางออนไลน์ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าในช่วงไตรมาส 2 จะมีปัจจัยของสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและฤดูฝนที่มาเร็ว ซึ่งส่งผลให้ยอดขายปรับตัวลดลงก็ตาม

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากค่าเช่า จำนวน 908.84 ล้านบาท ลดลง 31.75 ล้านบาท หรือ 3.38% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการงดจัดงาน HomePro Expo ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในช่วงเดือนมีนาคม และงาน HomePro Fair ที่เชียงใหม่ โดยได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นการจัดงาน HomePro Super Expo ในช่วงเดือนเมษายนแทน ผ่านช่องทางสาขาและออนไลน์

สำหรับกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้า และการให้บริการ Home Service รวมจำนวน 9,204.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.58 ล้านบาท หรือ 0.36% โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 26.20% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.25%  ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า Private Label ในส่วนของธุรกิจเมกาโฮม

นายวีรพันธ์ กล่าวว่า การขยายสาขาในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ได้มีการเปิดสาขาเพิ่ม 2 แห่ง ได้แก่ โฮมโปร สาขาลำพูน และเมกาโฮม สาขาอุดรธานี จึงทำให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 บริษัทฯ มีโฮมโปร 90 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 28 สาขา และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 7 สาขา

ในช่วงไตรมาส 2/67 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้กับภาคธุรกิจและผู้ประกอบการต่างๆ ผ่านการบริโภคสินค้าในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่น่ากังวล ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและหนี้ภาคครัวเรือน ที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ส่งผลให้เกิดการระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าของทางรัฐบาล และภาคการส่งออกที่ชะลอตัวจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในระดับที่ต่ำ

นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงที่ตรงกับฤดูร้อนของประเทศไทย จึงส่งผลให้ยอดขายสินค้ากลุ่มเครื่องทำความเย็น อาทิ เครื่องปรับอากาศ พัดลม และพัดลมไอน้ำ เติบโตสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ส่งผลให้โครงการก่อสร้างต่างๆ เกิดการชะลอตัว รวมถึงอาจเกิดความไม่สะดวกในการเข้ามาใช้บริการที่สาขาของลูกค้า

อย่างไรก็ดี อีกทั้งในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทฯ ได้มีการงดการจัดงาน HomePro Fair ที่เชียงใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมีการจัดกิจกรรมในช่วงเวลาดังกล่าว จึงทำให้ยอดขายสินค้าโดยรวมปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีการจัดกิจกรรม HomePro Super Expo ในวันที่ 4-8 เมษายน 2567 ที่ช่องทางสาขาและออนไลน์ รวมถึงยังมีการจัดกิจกรรม Double Day อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อรักษายอดขาย อัตรากำไร และ ส่วนแบ่งทางการตลาดอีกด้วย

เพิ่มเพื่อน