เอสพี กรุ๊ป (เอสพี) – เดินหน้าสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของภูมิภาคเอเชียด้วยโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (PV) ขนาดใหญ่ล่าสุดในประเทศไทย โดยกลุ่มสาธารณูปโภคชั้นนำและผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนในสิงคโปร์และเอเชียแปซิฟิกร่วมมือกับเบทาโกร บริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของประเทศไทยในการติดตั้งโซลาร์รูฟท๊อปกำลังการผลิต 8.2 เมกะวัตต์ (MWp) ณ โรงงานของเบทาโกร 7 แห่งในจังหวัดลพบุรี นครราชสีมา สงขลา ลำปาง และฉะเชิงเทรา
5 ส.ค. 2567 -เอสพีมีแผนจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เกือบ 13,000 แผง ซึ่งจะสามารถผลิตพลังสะอาดได้ประมาณ 11 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ซึ่งเทียบเท่าประมาณร้อยละ 8 ของพลังงานทั้งหมดที่ใช้ในโรงงานของเบทาโกรทั้ง 7 แห่ง โดยเมื่อดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในไตรมาตรที่สามของปี 2567 จะสามารถช่วยเบทาโกรลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 4,400 ตัน และประหยัดต้นทุนด้านพลังงานได้ประมาณ 17 ล้านบาทต่อปี (หรือ 630,500 ดอลลาร์สิงคโปร์) โดยเบทาโกรวางกลยุทธ์ดำเนินการเชิงรุกในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและยกระดับการรักษาสิ่งแวดล้อมขององค์กร อีกทั้ง ด้วยความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ บริษัทจึงตั้งเป้าที่จะใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
นายแบรนดอน เจีย กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียของเอสพี กรุ๊ป กล่าวว่า “เบทาโกรเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย และเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับเบทาโกรในการเดินหน้าสู่ความยั่งยืน โดยเรามองเห็นศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ซึ่งจะสามารถช่วยประหยัดต้นทุนด้านพลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เรามุ่งหวังที่จะส่งเสริมลูกค้าเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอย่างเบทาโกรในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยชุดโซลูชันที่ครอบคลุมและประสบการณ์การดำเนินงานที่เชี่ยวชาญของเรา”
สำหรับการดำเนินงานของเอสพีในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน มีโครงการด้านพลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการและการก่อสร้างร่วมกับพันธมิตรหลัก อาทิ บจก.เอเชีย คอมโพสิต แมททีเรียล (Asia Composite Material) บริษัทคอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (Compact International) บมจ.มาลี กรุ๊ป และบริษัทสยามอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ SAICO โดยการร่วมมือกับบริษัทในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากกว่า 24,000 ตันต่อปี
นอกจากนี้ เอสพียังมีโครงการพลังงานแสงอาทิตย์อื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมมากกว่า 200MWp ทั่วประเทศไทย และโครงการระบบทำความเย็นแบบศูนย์รวมแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ศูนย์ราชการฯ โซนซี ด้วยความร่วมมือกับบริษัท บ้านปู เน็กซ์ (Banpu NEXT) รวมทั้งได้มีการลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรังสิตเพื่อนำโซลูชันพลังงานแบบบูรณาการที่ยั่งยืนของเอสพีมาปรับใช้ให้ครอบคลุมทั้งมหาวิทยาลัย