
‘คลัง’ ตีปี๊บ Easy E-receipt บูมใช้จ่ายเต็มพิกัด 5 หมื่นบาท รัฐยอมสูญ 1 หมื่นล้านบาท หวังช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษกิจ 7 หมื่นล้านบาท ขีดเส้นกลาง ม.ค.-สิ้น ก.พ. 68 พร้อมชง ครม. เคาะจ่ายเงิน 10,000 บาท อุ้มคนแก่ 3.2 ล้านราย ฟุ้งเร่งอัดมาตรการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เข็นจีดีพีปี 68 โต 3% เตรียมเดินเครื่อง Entertainment Complex
20 ธ.ค. 2567 – นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้า (24 ธ.ค.) กระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณามาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย “Easy E-receipt” ในการซื้อสินค้าและบริการเพื่อใช้ลดหย่อนผ่านภาษี โดยจะให้สามารถหักลดหย่อยภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในช่วงกลางเดือน ม.ค. ถึงสิ้นเดือน ก.พ. 2568และคาดว่ามาตรการนี้จะส่งผลให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ราว 10,000 ล้านบาท แต่จะช่วยทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึง 70,000 ล้านบาท
สำหรับเงื่อนไขของมาตรการ แบ่งเป็น วงเงิน 3 หมื่นบาทแรก จะสามารถใช้ได้กับสินค้าและบริการเหมือนกับปีก่อน โดยจะมีเพิ่มเติมคือสามารถใช้ได้กับค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ เช่น ค่าแพ็คเกจท่องเที่ยว ค่าโรงแรม ค่าร้านอาหาร เป็นต้น ส่วนวงเงิน 2 หมื่นล้านบาทที่เหลือ จะสามารถใช้ได้กับสินค้าและบริการของวิสาหกิจชุมชน และOTOP เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในกลุ่มเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุนชน สนับสนุนให้เกิดการเติบโตอย่างเข้มแข็ง ยกเว้นสินค้าประเภทสุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ น้ำมัน ก๊าซ ค่าบริการประจุไฟฟ้าสำหรับเติมยานพาหนะ ค่าซื้อจักรยานยนต์และรถยนต์ เรือ ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า-น้ำประปา ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าอินเตอร์เน็ต และค่าเบี้ยประกัน เป็นต้น
ทั้งนี้ ร้านค้า และวิสาหกิจชุมชนที่จะเข้าร่วมโครงการ จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และจดทะเบียนในระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เท่านั้น ดังนั้นจึงอยากรณรงค์ให้ร้านค้าเข้าสู่กลไกของภาครัฐ เพื่ออนาคตในการดำเนินการด้านภาษีที่ง่ายและสะดวกมากขึ้นทั้งผู้ใช้บริการ และผู้เก็บภาษี
“ประชาชนสามารถใช้จ่ายผ่านมาตรการ Easy E-receipt ได้ โดยหากจะใช้กับวิสาหกิจชุมชน หรือ OTOP ทั้ง 5 หมื่นบาทเลยก็ทำได้ แต่ต้องเป็นระบบ e-Tax Invoice ทั้งหมด ซึ่งหากประชาชนใช้สิทธิ์เต็มตามวงเงินที่กำหนด 5 หมื่นบาท จะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีที่ 1 หมื่นบาท ซึ่งปีที่ผ่านมาโครงการนี้ก็ได้สนับสนุนให้มีผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบมากขึ้นกวา 20% ส่วนปีนี้ก็เชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการเข้ามาร่วมโครงการเพิ่มมากขึ้นด้วย” นายจุลพันธ์ กล่าว
นอกจากนี้ จะเสนอ ครม. พิจารณา โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เฟส2 สำหรับผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยยืนยันว่ารัฐบาลมีความพร้อมอย่างมาก เบื้องต้นตั้งเป้าหมายไม่เกิน 4 ล้านคน ซึ่งหลังจากผ่านความเห็นชอบแล้วจะต้องมาตรวจคัดกรองคุณสมบัติผู้สูงอายุให้เป็นไปตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์อีกครั้ง โดยเบื้องคาดคาดว่าท้ายที่สุดแล้วจะมีผู้สูงอายุที่เข้าเกณฑ์ทั้งสิ้น 3.2 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการจ่ายเป็นเงินสด ผ่านระบบพร้อมเพย์ ได้ไม่เกินเดือน ม.ค. 2568 อย่างแน่นอน โดยเม็ดเงินที่ใช้ในการดำเนินการ มาจากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.8 แสนล้านบาท ส่วนการดำเนินการในเฟสที่ 3 คาดว่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส 2/2568
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังได้เร่งดำเนินการโอนเงินตามโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ดำเนินการโอนเงินให้เกษตรกรครบเรียบร้อยแล้ว จำนวน 4.19 ล้านราย เป็นเงิน 3.39 หมื่นล้านบาท โดยยังเหลือที่ดำเนินการไม่สำเร็จอีกเพียง 3.1 พันราย เป็นเงิน 20 กว่าล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส. จะเร่งดำเนินการโอนซ้ำเรื่อย ๆ เดือนละ 2 ครั้ง จนถึงเดือน ก.ย. 2568 รวมถึงจะมีการประสานไปยังกรมส่งเสริมการเกษตร และเกษตรกร เพื่อให้เร่งแก้ปัญหาให้สามารถรับโอนเงินได้ต่อไป
“รัฐบาลได้เร่งดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่ายโครงการต่าง ๆ ทั้งการโอนเงิน 10,000 บาทให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ 14.5 ล้านคน การโอนเงินให้เกษตรกรในโครงการไร่ละพัน รวมถึงเตรียมจะโอนเงิน 10,000 บาทให้กับกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป รวมเป็นเงินราว 6-7 หมื่นล้านบาท ถือเป็นการช่วยรักษาจังหวะ โมเมนตั้มทางเศรษฐกิจให้มีแรงส่งต่อไป โดยปีหน้ารัฐบาลตั้งเป้าหมายจีดีพีขยายตัวได้ 3% แม้ว่าหลายส่วนจะมองไว้แค่ 2.9% ตรงนี้ยังไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย เพราะเชื่อว่าไทยจะเติบโตได้อย่างมีศักยภาพ การเติบโตที่เหมาะสม จะสร้างความแข็งแกร่งให้คนไทยอย่างทั่วถึง ส่วนปีนี้ด้วยการทำงานของรัฐบาลและกลไกของภาคการคลัง ช่วยทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ที่ 2.7-2.8% ขณะที่ในไตรมาส 4/2567 เชื่อว่าเศรษฐกิจจะยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี” นายจุลพันธ์ กล่าว
ส่วนความคืบหน้าการพจิารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นั้น รมช. การคลัง ระบุว่า คาดว่าจะเสนอ ครม. พิจารณาได้ในช่วงต้นปี 2568 โดยในส่วนของกระทรวงการคลังนั้น เป็นการพิจารณาในขั้นตอนของข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่จะต้องดูให้รอบคอบ โดยเมื่อผ่านความเห็นชอบของ ครม. แล้ว จะต้องส่งเรื่องไปกฤษฎีกา ซึ่งจะต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อดูเรื่องข้อกฎหมายเป็นพิเศษ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามกรอบไม่ขัดข้อกฎหมาย
โดยคณะทำงานที่จะตั้งขึ้นมานี้ จะมีองค์ประกอบ อำนาจหน้าที่ใกล้เคียงกับคณะทำงานของอีอีซี เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องและคร่อมกับหลายหน่วยงาน จึงจำเป็นต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อให้มีอำนาจในการขับเคลื่อนโครงการไปได้ ซึ่งคณะกรรมการอาจจะมีการพิจารณากำหนดจุดที่เหมาะสมในการสร้าง entertainment complex แต่กระบวนการแข่งขันของภาคเอกชนจะต้องเป็นธรรม และทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย
“entertainment complex เป็นเรื่องใหม่ และจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยจากผลการศึกษาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ประโยชน์ที่จะเกิดในช่วงการลงทุน ซึ่งน่าจะมีผลกับจีดีพีราว 0.2% และประโยชน์ที่เกิดกับจีดีพีหลังจากดำเนินโครงการแล้วผ่านการท่องเที่ยวและการบริโภคอีกไม่ต่ำกว่า 0.7% เป็นเกมส์เชนเจอร์ของรัฐบาล ซึ่งตรงนี้คลังมีหน้าที่ทำเรื่องกฎหมาย ก็จะทำอย่างเต็มที่ให้ถูกต้อง และชอบด้วยกฎหมายก่อนจะส่งกลับไปที่สภา แต่เราไม่มีอำนาจไปชี้ซ้าย ชี้ขวาได้ ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วสภาจะมองไปในทิศทางไหนก็ไม่รู้ เพราะเป็นอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะสามารถปรับ หรือแก้ไขข้อกฎหมายต่าง ๆ ให้มีความรัดกุม ให้ดียิ่งขึ้นไป ตรงนั้นก็ต้องยอมรับ” นายจุลพันธ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี นายจุลพันธ์ ยังกล่าวถึงทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงในขณะนี้ ว่า เป็นไปตามวัฎจักรของตลาดหุ้น ดัชนีไม่ได้ปรับตัวลดลงจากพื้นฐานของเศรษฐกิจ จึงไม่น่าเป็นประเด็นที่น่าห่วงใย และที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งสร้างความเชื่อมั่น สร้างความมั่นใจ ผ่านกลไกต่าง ๆ เพื่อทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว ขณะเดียวกันบริษัทจดทะเบียนมีผลกำไรมากขึ้น รวมถึงยังเร่งสร้างความเชื่อมั่นเรื่องตลาดทุน ผ่านกลไกเรื่องการฉ้อโกง การหลอกลวง ซึ่งน่าจะทำให้ประชาชนและนักลงทุนเห็นและเกิดความมั่นใจในมาตรการด้านการลงทุนต่าง ๆ มาขึ้นด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แจกหมื่นเฟส3 ‘คลัง’ เปิดช่อง ดิจิทัลแลกเงิน
“จุลพันธ์” ปักธงปลาย ก.พ. ชงเคาะแจกเงินหมื่นเฟส 3 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ยันแจกเป็นเงินดิจิทัล แต่ยอมรับปรับลดเงื่อนไขให้ประชาชนนำไปเปลี่ยนเป็นเงินสด