'สรรพากร' ตั้งแท่นรีดภาษีบริษัทข้ามชาติ ปักธงดูดรายได้1.2หมื่นล./ปี BOI ถกคลังจ่อผุดกม.แก้เกม

‘สรรพากร’ ตั้งแท่นรีดภาษีบริษัทข้ามชาติยกเข่ง 1,200 กลุ่มบริษัท ปักธงดูดรายได้ภาษีเพิ่มปีละ 12,000 ล้านบาท ด้าน BOI เร่งถกคลังเตรียมจัดทำกฎหมายอีกฉบับแก้เกม

17 ม.ค. 2568 – นายภาณุวัฒน์ เหลืองวิไล รองอธิบดี และโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2567 โดยจะมีผลใช้บังคับแก่นิติบุคคลข้ามชาติ (Multinational Enterprises : MNEs) ขนาดใหญ่ที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า 750 ล้านยูโร สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป ซึ่งจะมีรายได้เข้ารัฐครั้งแรกราวเดือน มิ.ย. 2570 ประมาณปีละ 12,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประเมินว่าจะมีผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบในไทย แบ่งเป็น Thai MNE ประมาณ 100 กลุ่มบริษัท และ Foreign MNE ประมาณ 1,100 กลุ่มบริษัท

สำหรับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับการขอรับการส่งเสริมการลงทุนกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นั้น ที่ผ่านมากรมสรรพากร และ BOI ทำงานใกล้ชิดกันมาโดยตลอด แต่หน้าที่แตกต่างกัน โดย BOI มีหน้าที่ดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ

อย่างไรก็ดี พ.ร.ก. ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567นั้น ได้กำหนดให้กลุ่ม MNEs ขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย ไม่ว่ากลุ่ม MNEs ของไทยที่ลงทุนในต่างประเทศ หรือกลุ่ม MNEs ของต่างประเทศที่ลงทุนในประเทศไทยที่มีรายได้ตามงบการเงินรวม (Consolidated Financial Statements) ของบริษัทแม่ลำดับสูงสุดไม่น้อยกว่า 750 ล้านยูโรอย่างน้อย 2 ใน 4 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนหน้ารอบระยะเวลาบัญชีที่พิจารณาหน้าที่การเสียภาษีส่วนเพิ่ม ต้องเสียภาษีในอัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate : ETR) 15% โดยมีผลใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีวิธีการจัดเก็ฐภาษี 3 รูปแบบตาม Model Globe Rules ได้แก่ 1. ภาษีส่วนเพิ่มภายในประเทศซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ (Domestic Minimum Top-up Tax : DMTT) 2. กฎการรวมเงินได้ซึ่เงป็นไปตามเกณฑ์ (Income Inclusion Rule : IIR) และ 3. กฎการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มคงเหลือ ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ ( Undertaxed Payments Rule : UTPR)

“พ.ร.ก. ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 จะทำให้ประเทศไทยไม่ถูกกัดกร่อนฐานภาษีและถ่ายโอนกำไร (Base Erosion and Profit Shifting : BEPS) และจะทำให้ประเทศไทยมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น สามารถรักษาสิทธิการจัดเก็บภาษีในฐานะประเทศแหล่งเงินได้ โดยคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นนปีละ 12,000 ล้านบาท” นายภาณุวัฒน์ กล่าว

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยถึงกรณี พ.ร.ก. ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ว่า กระทรวงการคลังและบีโอไอ อยู่ระหว่างการหารือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการที่กระทรวงการคลังออกกฎหมายเก็บภาษีส่วนเพิ่ม ขณะนี้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากร กำลังเร่งพิจารณาจัดทำกฎหมายใหม่อีกหนึ่งฉบับ เพื่อนำเครื่องมือ “การเครดิตภาษีที่สามารถคืนเป็นเงินสด (Refundable Tax Credit)” มาปรับใช้ในประเทศไทย ซึ่งเป็นวิธีการที่ OECD แนะนำให้สามารถทำได้ เพื่อบรรเทาผลกระทบของ Global Minimum Tax

ทั้งนี้ BOI ได้เตรียมมาตรการรองรับไว้ 2 ส่วน คือ 1. มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการจัดเก็บภาษีรูปแบบใหม่ โดยเปิดโอกาสให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมสามารถเลือกรับสิทธิประโยชน์การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 50% ของอัตราปกติ แทนการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยจะให้ระยะเวลานานขึ้น 2 เท่า แต่ไม่เกิน 10 ปี เพื่อให้การคำนวณอัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate: ETR) ของบริษัทในแต่ละปีใกล้เคียง 15% ก็จะทำให้เสียภาษีส่วนเพิ่มลดลง และได้รับสิทธิประโยชน์ในระยะเวลานานขึ้น

2. มาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดย BOI จะขอรับการจัดสรรรงบประมาณเพื่อเป็นมาตรการเยียวยาชั่วคราวให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ ในระหว่างรอกฎหมายใหม่ของกระทรวงการคลัง โดยจะให้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ สำหรับการลงทุนหรือค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันตามที่กำหนด เช่น ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากร การปรับปรุงประสิทธิภาพโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการยกระดับมาตรฐานที่เป็นสากล เป็นต้น

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง