'พิชัย' ปักธงเข็นจีดีพีปีนี้โต3.5% หวังบาทอ่อนช่วยหนุนส่งออกฟื้น

‘พิชัย’ ปักธงเข็นเศรษฐกิจไทยปี 68 โตแตะ 3.5% ชูพื้นฐานเศรษฐกิจไทยสุดแกร่ง พร้อมปูพรมสนับสนุนลงทุน ลุ้นส่งออกพุ่ง 4% หวังบาทอ่อนช่วยหนุน มอง Thai ESGX ช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นได้ช่วงสั้น เร่งเครื่องกฎหมายติดดาบ ก.ล.ต. เพิ่มอำนาจเอาผิดนักลงทุนที่สร้างความเสียหาย คาดได้เห็นภายใน 1-2 สัปดาห์นี้

12 มี.ค. 2568 – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวปฐกถาในงาน Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities ในหัวข้อ “ความพร้อมประเทศไทยเพื่อการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก ว่า ปี 2568 กระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ที่ 3-3.5% ซึ่งถือเป็นการกลับมาเติบโตในระดับศักยภาพปกติ และเป็นการเติบโตในระดับเดียวกันของภูมิภาค ซึ่งต้องเร่งดำเนินการผ่านการผลักดันการลงทุนให้เกิดขึ้นได้จริง

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า ตั้งแต่ปี 2566 มีนักลงทุนต่างชาติที่แสดงความสนใจลงทุนในประเทศไทย คิดเป็นวงเงินกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นจำนวนที่สูงมาก แต่ยังไม่มีการใส่เม็ดเงินเข้ามาอย่างจริงจัง ดังนั้น รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ต้องเร่งดำเนินการในส่วนนี้เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็ว โดยการชูจุดขายของประเทศไทยในการเป็นจุดเชื่อมต่อที่ดี เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ดังนั้น จึงต้องเร่งแสดงให้นักลงทุนเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่ง และพร้อมจะสนับสนุนการลงทุนในมิติต่าง ๆ

“วันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตผ่านระดับ 3% ไปได้ เพื่อขยับไปสู่ระดับต่อ ๆ ไป แต่ 3% นี้ไม่ใช่เป้าหมายการเติบโตของไทยในระยะยาวอย่างแน่นอน เราต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพและปลดล็อกเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรค เพราะวันนี้เรารู้แล้วว่านักลงทุนต้องการอะไร ต้องการที่ดิน ต้องการแรงงาน ต้องการสิ่งรองรับเทคโนโลยี ต้องการการสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว ต้องการความรวดเร็ว และเรามีพื้นฐานที่ดีใน 2 อุตสาหกรรม คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ต้องดึงสิ่งเหล่านี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์” นายพิชัย กล่าว

นอกจากนี้ จะต้องพุ่งเป้าหมายการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับทิศทางของโลก เช่น อุตสาหกรรม BCG อุตสาหกรรมยานยนต์และแบตเตอรี่สะอาด อุตสาหกรรมดิจิทัล โดยรัฐบาลอยากให้ไทยเป็นศูนย์กลาง Digital Headquarter เพื่อให้สามารถเข้าถึงและสนับสนุนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ นั่นหมายถึงอุตสาหกรรมของไทยจะต้องเร่งปรับเปลี่ยน เพื่อเปลี่ยนถ่ายไปสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ ในการรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว

นายพิชัย กล่าวอีกว่า ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพแข็งแกร่ง สะท้อนจากการมีทุนสำรองเกินกว่า 2 แสนล้านเหรียญ ซึ่งสูงกว่าหนี้ระยะสั้นต่างประเทศของไทยถึง 3 เท่า ขณะเดียวกันยังมีสภาพคล่องเหลือในระบบที่มีประสิทธิภาพราว 4 ล้านล้านบาท ซึ่งตรงนี้มีศักยภาพเพียงพอที่จะใช้ในการลงทุนที่เป็นประโยชน์กับประเทศ รวมถึงการมีระบบสถาบันการเงินที่เข้มแข็ง ดังนั้น หากทุกฝ่ายร่วมมือและเร่งพัฒนาในส่วนดังกล่าว และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เชื่อว่าจะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“อยากเชิญชวนนักลงทุนว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเงินที่เข้ามาในด้านการผลิต ด้านบริการ เรามีความพร้อมและมีความเชื่อมโยงในด้านพื้นฐานการลงทุน ที่จะสามารถตอบโจทย์และเป็นจุดหมายของการลงทุนได้เป็นอย่างดี รัฐบาลเองพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ และพร้อมรับฟัง รวมถึงพร้อมที่จะช่วยแก้ไขปัญหาระหว่างนักลงทุนที่เกิดขึ้น เพื่อการเติบโตร่วมกัน โดยเน้นความยั่งยืน และหวังว่าการเข้ามาลงทุนจะเป็นการลงทุนอย่างมีความสุขและรักประเทศไทยมาก ๆ” นายพิชัย กล่าว

สำหรับภาคการส่งออกยังถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยปี 2568 ตั้งเป้าหมายการส่งออกขยายตัว 4% ซึ่งมองว่าปัจจัยที่จะต้องเข้ามาสนับสนุน คือ อัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากในภาคการส่งออกทั้งหมดอยากเห็นอัตราแลกเปลี่ยน หรือค่าเงินบาทที่อ่อน เพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจ แต่ในแง่ของผู้ดูแลนโยบายก็อยากให้เรื่องนี้มีเสถียรภาพด้วย ดังนั้นภาพที่ทุกฝ่ายอยากเห็นคือ ค่าเงินบาทอ่อนค่าอยากมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีกับภาคการส่งออกของไทย ขณะที่ภาคส่งออกในกลุ่มไหนที่ยังมีปัญหา ก็ต้องมาดูและประสานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อปลดล็อกต่อไป

“ที่กล่าวกันว่าเมื่อส่งออกดีแล้วเศรษฐกิจก็ควรจะดี แต่วันนี้เศรษฐกิจเราดีไม่มาก นั่นเพราะการผลิตไม่เป็นไปตามยอดการส่งออก ก็ต้องแก้ปัญหากันไป และเชื่อว่าจะต้องเข้าที่” นายพิชัย ระบุ

อย่างไรก็ดี ในส่วนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ภายหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ดำเนินการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนพิเศษ (Thai ESGX) นั้น นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ได้ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยไหลลงมาจนแตะระดับที่ 1,200 จุด โดยส่วนตัวมองว่าเป็นการไหลลงเกินกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น ซึ่งหลายคนบอกว่า เป็นผลมาจาก การ Short Sell  เกิดจากกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิจนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น โดยยืนยันว่า ในเบื้องต้นได้แก้ไขปัญหาไปบ้างแล้ว ซึ่งสะท้อนจากยอด Short Sell ที่เหลือไม่เยอะ

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่ได้เร่งดำเนินการ โดยกระทรวงการคลัง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อออกพ.ร.ก.ให้อำนาจสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเอาผิดกับนักลงทุนที่สร้างความเสียหาย เพื่อดูแลนักลงทุนรายย่อย โดยพยายามเร่งผลักดันให้กฎหมายดังกล่่าวเกิดขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์นี้

เพิ่มเพื่อน