'เผ่าภูมิ' ยันจ่อเข็นมาตรการฟื้นอสังหาฯ ธอส.มั่นใจแผ่นดินไหวไม่ทำลูกค้าทิ้งใบจอง

‘เผ่าภูมิ’ การันตีเตรียมเข็นมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ หวังช่วยปลุกความเชื่อมั่น ด้าน “ธอส.” รับแผ่นดินไหวกระทบช่วงสั้นไม่เกิน 3 เดือน มั่นใจไม่เกิดปัญหาลูกค้าทิ้งใบจอง-ยกเลิกสัญญา พร้อมคาดแนวโน้มสินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ปี 68 โตเฉียด 6 แสนล้านบาท

2 เม.ย. 2568 – นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ในกระบวนการในการเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเข้ามาดูแลในช่วงที่อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยโอบอุ้มภาคอสังหาริมทรัพย์ในภาวะที่สูญเสียคามเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี และเชื่อว่าจะมีข่าวดีออกมาเร็ว ๆ นี้

สำหรับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์มี 2 มาตรการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูง ได้แก่ มาตรการ LTV และมาตรการลดค่าธรรมเสนียมการโอนและจดจำนอง โดยจากข้อมูลพบว่า หากมีการใช้มาตรการกระตุ้นอสังหาเพียง 1 มาตรการ จะมีผลต่อซัพพลายในอุตสาหกรรม ที่ 16.8% ถ้าหากไม่มีมาตรการ จะมีผล -0.8% และถ้าใช้ 2 มาตรการ จะมีผล 22.6% ขณะที่ในภาคดีมานต์ โดยเฉพาะในเรื่องหน่วยของการโอน หากใช้ 1 มาตรการ มีผล 1.6% ถ้าไม่มีมาตรการเลย -3.5% แต่ถ้ามีการใช้ 2 มาตรการพร้อมกัน จะมีผล 9.7% ดังนั้นตรงนี้เป็นเครื่องสะท้อนว่า 2 มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์หากมาพร้อมกันจะเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การโอนที่อยู่อาศัย และคอนโดมิเนียม เริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว โดยมียอดโอน เฉลี่ยใกล้เคียงสถานการณ์ปกติวันละ 400 ราย หลังจากธนาคารและผู้ประกอบการคอนโดมิเนียม มีการร่วมมือกันเร่งสร้างความเชื่อมั่นตรวจรับรองว่าโครงสร้างอาคารว่า มีความแข็งแกร่งและสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ก็ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้นและกลับมาโอนเป็นปกติ

“ยอมรับว่าในช่วงวันแรก หลังเกิดแผ่นเหตุแผ่นดินไหว มีลูกค้าชะลอการตัดสินใจโอนคอนโดมิเนียมไปบ้างแต่เป็นแค่ช่วงระยะสั้น และเชื่อว่าจะไม่เกิดปัญหาเรื่องการทิ้งใบจองหรือยกเลิกสัญญาอย่างที่กังวลแต่อย่างใด เนื่องจากตอนนี้ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงมีต่อเนื่องทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยวทาวน์เฮาส์รวมถึงคอนโดคอนโดมิเนียม โดยประเมินว่าปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลกระทบในระยะสั้น ไม่น่าจะเกิน 3 เดือน หลังจากนั้นน่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะเดียวกัน ธอส. ได้เร่งประสานกับผู้ประกอบการในภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยยืนยันว่าธนาคารพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่” นายกมลภพ กล่าว

ทั้งนี้ เห็นได้จากยอดการปล่อยสินเชื่อของ ธอส. ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1/2568 ปล่อยกู้ไปแล้ว 46,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 12,000 ล้านบาท โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบหรือบ้านเดี่ยวทาวน์เฮาส์ที่มีการเติบโตถึง 20% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการลดดอกเบี้ยนโยบาย ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ความต้องการกู้เพื่อซื้อบ้านมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ดีกว่าปีก่อน อยู่ที่ 1.1% คิดเป็นวงเงิน 5.93 แสนล้านบาท จากปีก่อนขยายตัวติดลบที่ 13.4% หรือ 5.87 แสนล้านบาท แม้จะมีปัจจัยลบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราว 25% ของครอบครัวไทย หรือราว 8-9 แสนครัวเรือน ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง แม้จะมีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากข้อจำกัดในเรื่องสถานที่ทำงาน ที่อยู่อาศัยยังไม่เหมาะสมหรือตอบโจทย์ความต้องการ เป็นต้น โดยในส่วนของ ธอส. ยังให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยแนวราบ และบ้านมือสองเป็นหลัก เนื่องจากมองว่าหลังจากนี้คนอาจจะยังไม่อยากอยู่ตึกสูงมากนักนายกมลภพ กล่าวอีกว่า ปัจจัยบวกที่มีผลต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 มาจาก แนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.2-3.2% โดยมีค่ากลางที่ 2.7% จากปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น แะการขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศตามแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน และการขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับต่ำ และคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับลดลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้ จะช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของครัวเรือนได้ ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชน

นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผ่อนคลายเกณฑ์มาตรการ LTV เป็นการชั่วคราว เพื่อประคับประคองภาคอสังหาริมทรัพย์และช่วยแก้ปัญหาอุทานคงค้างในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ตั้งแต่ 1 พ.ค. 2568-30 มิ.ย. 2569 ตลอดจนการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปีนี้

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยลบที่ต้องติดตาม ได้แก่ หนี้สินภาคครัวเรือนแม้ว่าจะเริ่มปรับตัวลดลง แต่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชนลดลง ขณะเดียวกันเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อที่รัดกุมของธนาคารพาณิชย์ และเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ความเชื่อมั่นในการอยู่อาศัยห้องชุดลดลง อาจส่งผลกระทบทางจิตวิทยา ทำให้มีการชะลอการซื้อห้องชุดในระยะสั้น และความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาดเงิน การลงทุนและนโยบายทางภูมิรัฐศาสตร์

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สว. ลุยตั้ง กมธ.แก้ปัญหาเศรษฐกิจ อัด 'พิชัย' เชื่องช้าเจรจาภาษีสหรัฐ

นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล สว. ให้สัมภาษณ์ถึงการเสนอญัตติตั้ง คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมวถฒิสภาฯ วันที่ 15 ก.ค.