ผ่าแผนโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมขนส่งไร้รอยต่อ ปักธงทุกเส้นทาง20บาทตลอดสายได้ใช้แน่ก.ย.68

เพื่อยกระดับการเดินทางของประชาชนผ่านระบบขนส่งสาธารณะได้สะดวก ทันสมัยมากขึ้น ลดการใช้ยานพาหนะส่วนตัว อีกทั้งจะช่วยแก้ปัญหาจราจรติดขัด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ กระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ดังนั้นรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงได้เร่งเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่ค้างคาให้แล้วเสร็จ รวมถึงนโยบายเรือธง “ระบบตั๋วร่วม” เพื่อให้ประชาชนใช้ตั๋วใบเดียวขึ้นรถลงเรือและต่อรถไฟฟ้าได้อย่างสะดวกสบาย โดยเฉพาะ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

15 เม.ย. 2568 – ปัจจุบัน โครงข่ายรถไฟฟ้าหลากสี หลากเส้นทาง ที่รัฐบาลดำเนินการก่อสร้างและเปิดให้บริการแล้วนั้น มีโครงข่ายทั้งสิ้น 13 เส้นทาง รวม 194 สถานี มีระยะทางรวมกว่า 276.84 กิโลเมตร (กม.) ซึ่งคิดเป็นกว่า 50% ของแผนพัฒนารถไฟฟ้าทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่จะต้องดำเนินการสร้างรวมกว่า 553.41 กม. ขณะเดียวกันยังมีรถไฟฟ้าสายใหม่อีก 3 เส้นทาง ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่บรรจุอยู่ในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชน ระยะที่ 2 (M-MAP 2) ซึ่งเป็นตัวกำหนดทิศทางของระบบรางในอนาคต โดยมีเป้าหมายหลักคือ ขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมมากขึ้น เพิ่มความสะดวกในการเดินทาง ลดภาระจราจรบนถนน และทำให้การขนส่งมวลชนเป็นทางเลือกหลักของประชาชน

สำหรับ โครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในปัจจุบันนั้น ประกอบด้วย 1.โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ความก้าวหน้าโดยรวม 7.52% ความก้าวหน้างานโยธา 7.96% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 3.45% ขณะที่ความก้าวหน้าโครงการรถไฟฟ้า สายสีส้มฝั่งตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ปัจจุบันแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างรอนำรถมาให้บริการ ส่วนงานระบบไฟฟ้ามีความก้าวหน้าอยู่ที่ 4.61% คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 71 และจะเปิดให้บริการทั้งเส้นในปี 73

2.โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการก่อสร้าง ซึ่ง รฟม.ได้กำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานก่อสร้างของผู้รับจ้าง ผู้รับสัมปทานอย่างใกล้ชิด ความก้าวหน้าภาพรวมงานโยธา 53.48% แบ่งงานก่อสร้างออกเป็น 6 สัญญาซึ่งแต่ละสัญญามีความก้าวหน้าดังนี้ สัญญาที่ 1 ช่วงเตาปูน – หอสมุดแห่งชาติ มีความก้าวหน้า 69.94% สัญญาที่ 2 ช่วงหอสมุดแห่งชาติ-ผ่านฟ้า มีความก้าวหน้า 59.60% สัญญาที่ 3 ช่วงผ่านฟ้า-สะพานพุทธ มีความก้าวหน้า 48.24% สัญญาที่ 4 ช่วงสะพานพุทธ-ดาวคะนอง มีความก้าวหน้า 53.06% สัญญาที่ 5 ช่วงดาวคะนอง-ครุใน มีความก้าวหน้า 30.24% และ สัญญาที่ 6 งานออกแบบและก่อสร้างระบบรางตลอดแนวเส้นทางโครงการ มีความก้าวหน้า 39.59% ตามแผนงานคาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2571

และ 3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี สำหรับความคืบหน้าส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี 8 ความก้าวหน้างานโยธา อยู่ที่ 94.15% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า อยู่ที่ 93.18% ความก้าวหน้าโดยรวมอยู่ที่ 93.82% โดยคาดว่าจะเข้าสู่กระบวนการทดสอบเดินรถเสมือนจริงในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 จากนั้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรี 1 เดือน ก่อนที่จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568

M-MAP 2 โครงข่ายใยแมงมุม

สำหรับ แนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบขนส่งทางรางปี 2568 ภายใต้แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนระยะที่ 2 (M-MAP 2) นั้น นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ระบุว่า ปัจจุบันการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ และกระทรวงคมนาคมยังมีแผนที่จะผุดโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ เพิ่มเติม กรมได้วางแนวทางการดำเนินการพัฒนาการขนส่งทางรางตามนโยบายของรัฐบาลโดยศึกษาและจัดทำรายละเอียด ภายใต้ M-MAP 2 โดย4 เส้นทางเร่งด่วนที่กระทรวงคมนาคมจะเร่งผลักดัน ประกอบด้วย 1.โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กม. ซึ่งเส้นทางนี้ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2568 และเปิดให้บริการปี 2571

2.โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 20.50 กม. จากเดิมโครงการนี้แบ่งเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ ตลิ่งชัน-ศิริราช และ ตลิ่งชัน-ศาลายา แต่ขณะนี้ได้มีการรวมเป็นโครงการเดียว ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอ ครม.พิจารณา, 3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-บึงกุ่ม-ลำสาลี ระยะทาง 22.10 กม. ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจ นโยบายค่าโดยสาร 20 บาท

“ทั้ง 4 โครงการเป็นส่วนหนึ่งของการขยายโครงข่ายระบบรางให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางที่สะดวกและเชื่อมกันอย่างไร้รอยต่อ ขณะนี้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งดำเนินงานในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าได้อย่างราบรื่น และพร้อมรองรับความต้องการเดินทางของประชาชนในอนาคต” นายพิเชฐ กล่าว

นายพิเชฐ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีโครงการรถไฟฟ้าอีก 3 เส้นทางที่คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) มีมติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ให้โอนภารกิจการดำเนินการในการก่อสร้างรถไฟฟ้าจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้กับกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อให้การพัฒนาโครงข่ายระบบรางมีความสอดคล้องและเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งขณะนี้ รฟม.อยู่ระหว่างหารือกับสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.)ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับของ กทม. เพื่อรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของแต่ละโครงการเมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว ทาง รฟม.จะดำเนินการในรายละเอียด รวมถึงดูการเชื่อมต่อกับระบบรถไฟฟ้าสายเดิมที่มีอยู่ และร่างข้อกำหนดและเงื่อนไขของงาน (TOR) ส่วนการลงทุนนั้นคาดจะเป็นภาครัฐลงทุน และจ้างเอกชนเข้ามาเป็นผู้เดินรถ เพื่อให้สามารถกำหนดนโยบายด้านราคา

สำหรับรถไฟฟ้าทั้ง 3 สายทางที่รับโอนมาจาก กทม. ประกอบด้วย 1.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเงิน เส้นทางบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะทาง 19.7 กม. วงเงินลงทุนประมาณ 89,948.27 ล้านบาท โดยได้มีการศึกษารูปแบบการใช้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) แล้ว เป็นรถไฟฟ้าขนาดเบา 2.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเทา ระยะที่ 1 ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ ระยะทาง 16.3 กม. วงเงินลงทุนประมาณ 29,130 ล้านบาท โดยได้มีการศึกษารูปแบบการใช้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) และ 3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีฟ้า ช่วงดินแดง-สาทร ระยะทาง  9.5 กม. ซึ่งโครงการนี้ยังไม่ได้มีการศึกษาประมาณการและรูปแบบการลงทุนของโครงการ

รถไฟฟ้าทั้ง 3 สายทางถือเป็นหนึ่งในแผนพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ 2 หรือ M-MAP 2 ซึ่งคอนเซปต์จะเป็นเหมือนเส้นทางใยแมงมุมที่เข้ามาเสริมเส้นทางหลักที่มีอยู่แล้ว” นายพิเชฐ กล่าว

ปักธง ก.ย.รถไฟฟ้า 20 บาททุกเส้นทาง

สำหรับนโยบายเรือธง “รถไฟฟ้า 20 บาททุกเส้นทาง” นั้น  นาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ระบุว่า ปัจจุบันได้ดำเนินการในโครงการรถไฟฟ้า 2 เส้นทาง ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน เพื่อลดภาระค่าครองชีพในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชน จากผลการดำเนินนโยบายดังกล่าวพบว่า ได้ผลตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี สะท้อนได้จากข้อมูลในช่วงที่ผ่านมาที่มีสถิติการมีผู้ใช้บริการสูงที่สุด (นิวไฮ) ตั้งแต่เปิดให้บริการ

ส่วนโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นๆ ประกอบด้วย สายสีเขียว สายสีทอง สายสีเหลือง สายสีชมพู สายสีน้ำเงิน และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์นั้น นายสุริยะ ยืนยันว่า จะประกาศใช้ในวันที่ 30 กันยายน 2568 เป็นต้นไปตามที่เคยกำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการนโยบายดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 8 สายทาง โดยในระยะแรกผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จำกัดเฉพาะผู้ที่มีเลขบัตรประชาชนไทย 13 หลักเท่านั้น และต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ซึ่งคาดจะเปิดให้ลงทะเบียนในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 โดยยืนยันอีกว่าการลงทะเบียนจะไม่ยุ่งยาก และไม่ซับซ้อน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน

“การลงทะเบียนใช้มาตรการค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐนั้น เพื่อยืนยันตัวตน และเพื่อให้ระบบสามารถเคลียร์ค่าใช้จ่ายการเดินทางข้ามสายระหว่างผู้ให้บริการแต่ละรายได้ เช่น หากจะใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สามารถชำระค่าโดยสารผ่านบัตร MRT Plus และบัตร EMV ส่วนถ้าจะใช้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีทอง สายสีเหลือง สายสีชมพู จะต้องชำระค่าโดยสารผ่านบัตร Rabbit โดยไม่ว่าจะใช้บริการกี่สายทาง หรือข้ามสายทางทุกระบบ จะมีค่าโดยสารเพียง 20 บาทเท่านั้น” นายสุริยะ ระบุ

เฟส 2 สแกน QR Code ผ่านโทรศัพท์มือถือ

นายสุริยะ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บัตรโดยสารที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ในช่วงแรกของการดำเนินนโยบาย ผู้โดยสารยังคงสามารถใช้บัตรโดยสารที่ใช้อยู่เดิมได้ เพียงแต่ต้องลงทะเบียนบัตรเหล่านั้นผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐก่อนจึงจะได้รับสิทธิ์ 20 บาทตลอดสาย ในส่วนของ การพัฒนาในระยะที่ 2 เริ่มดำเนินการภายในปี 2569 จะมีการเปลี่ยนไปใช้ระบบสแกนชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายผ่านช่องทาง QR Code บนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะทำให้ในอนาคตไม่จำเป็นต้องใช้บัตรโดยสารอีกต่อไป

ขณะที่ การชดเชยรายได้ให้เอกชนผู้ประกอบการนั้น ประเมินว่าจะต้องใช้ประมาณปีละ 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากเงินรายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หรือกองทุนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ที่ในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 16,000 ล้านบาท มาชดเชยรายได้ ภายใต้การขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ผ่านการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ที่ในขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการ ซึ่งจะเสนอประกาศกฎหมายลำดับรองภายในเดือนกันยายน 2568 แน่นอน

คงต้องรอลุ้นกันว่า 20 บาทตลอดสายนั้น จะได้ใช้ในเดือนกันยายน 2568 นี้ หรือจะเป็นแค่แม่สายบัวแต่งตัวรอเก้อเช่นที่ผ่านๆ มา.

เพิ่มเพื่อน