'เอกนัฏ' คุมกำเนิด ‘เหล็กห่วย’ ห้ามตั้งโรงเหล็กเส้นทั่วประเทศถึงปี 73

เอกนัฏ คุมกำเนิด“เหล็กห่วย” ห้ามตั้งโรงเหล็กเส้นทั่วประเทศ ถึงปี 73 คุมคุณภาพ เซฟอุตสาหกรรมเหล็กไทย

22 มิ.ย. 2568 – นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นอกจากการดำเนินการสั่งจับสั่งปิดโรงงานเหล็กไม่มาตรฐานอย่างต่อเนื่องของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้ยกระดับมาตรการควบคุมเหล็กให้มีคุณภาพให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการ ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกห้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. …. เป็นระยะเวลา 5 ปี มีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 9 มกราคม 2573 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมโดย รัฐมนตรี เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เสนอ

นายพงศ์พลฯ กล่าวว่า จากผลการตรวจสอบคุณภาพเหล็กของโรงงานหลอมเหล็กจากเตา IF (Induction Furnace) จำนวน 7 แห่งจาก 11 แห่งทั่วประเทศ โดยทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า มีผลิตภัณฑ์เหล็กไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะค่าโบรอนต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภคเป็นวงกว้าง และขณะนี้ยังเหลือโรงงานอีก 4 แห่ง ที่อยู่ระหว่างรอผลการตรวจสอบ ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในไม่ช้า การเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการยกระดับมาตรฐาน และการควบคุมคุณภาพเหล็ก เพื่อให้มั่นใจว่า เหล็กที่ส่งออกสู่ตลาดมีคุณภาพสูงตามเกณฑ์ และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค

สาระสำคัญของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับนี้  คือ การขยายระยะเวลาการห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2573 (เดิมสิ้นสุดการใช้บังคับเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568) เพื่อเป็นการควบคุมกำลังการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตและเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เพื่อแก้ไขปัญหากำลังการผลิตเกินความต้องการบริโภค (Over Supply) และใช้โอกาสนี้เพื่อเซฟอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ควบคุมคุณภาพการผลิต โดยเฉพาะมาตรฐานผลิตเหล็กเส้นชนิด IF ที่พบปัญหาอยู่บ่อยครั้ง จากการลงตรวจของทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม

นายพงศ์พล กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตระหนักถึงผลกระทบอย่างรุนแรงจากการผลิตเหล็กส่วนเกินและการตีตลาดจากเหล็กเส้นราคาต่ำ แต่มีปัญหาด้านคุณภาพ ที่ทะลักเพิ่มมากขึ้นในตลาดจากทุนข้ามชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศอย่างชัดเจน และเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างเร่งด่วน จึงได้ผลักดันร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกห้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. …. โดยขยายเวลาใช้บังคับออกไปอีกเป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่ง ครม. มีมติอนุมัติในหลักการ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา

“ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับนี้ โดยการผลักดันของรัฐมนตรีเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ จะช่วยแก้ปัญหาทั้งเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพของการผลิตเหล็กเส้นในประเทศ ควบคุมการเข้ามาของทุนต่างชาติที่นำเข้าเหล็กเกินความจำเป็น และยังเป็นการเซฟอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีกับระบบเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศโดยรวม” นายพงศ์พลฯ กล่าวทิ้งท้าย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เลขาฯรมว.อุตสาหกรรม ยันไม่ก้มหัวให้ธุรกิจสีเทาตั้งค่าหัว 300 ล้าน เขี่ย 'เอกนัฏ'

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการ รมว.อุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีข่าวการตั้งค่าหัวเพื่อโยกย้ายตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ว่า ในวันแรกที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์

รองโฆษก รทสช. อัดพรรคส้มอย่าพล่ามเอาหล่อ ฟ้องปิดปากทำกองเชียร์เสียงแตก

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่า ขอเอี่ยวสั้นๆ พรรคประชาชน ฟ้องประชาชน

'รองโฆษก รทสช.' ซัดแรง! 'หมออ๋อง' ใช้อำนาจปิดปาก ตะเพิดลงจากบัลลังก์

'ลอรี่' ซัด 'รองอ๋อง' ใช้อำนาจปิดปาก 'อัครเดช' ส่อผิดข้อบังคับการประชุมสภาฯ ไม่เคยมีประธานคนใดทำแบบนี้ ตะเพิดลงจากบัลลังก์ หาคนมีวุฒิภาวะทำหน้าที่แทน

'รองโฆษก รทสช.' ดึงสติ! เด็กป่วนขบวนเสด็จฯ ชี้ระดับสากลโทษขั้นก่อการร้าย

'รองโฆษก รทสช.' ดึงสติ 'เด็กป่วนขบวนเสด็จฯ' อย่าหาทำ ชี้ระดับสากลโทษถึงขั้นก่อการร้าย วอนสื่ออย่าให้พื้นที่ ฟูมฟักความรุนแรงในสังคม

‘พีระพันธุ์’ เผยหาทางดูแลค่าไฟ ให้ไม่เกิน 4.20 บาท/หน่วย 

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า  ตามที่มีข่าวค่าไฟงวดใหม่เดือนม.ค.-เม.ย.2567 ในอัตรา 4.68 บาทต่อหน่วย