22 หน่วยงานรัฐ -เอกชน ร่วมจัดตั้ง'ศูนย์ทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ 'ถอดรหัสพันธุกรรมคนไทย

ช้อาสาสมัคร5 หมื่นราย ไขรหัสพันธุกรรม เพื่อวางรากฐานข้อมูลรักษาผู้ป่วย 5 กลุ่มโรคแห่งอนาคต และช่วยทำให้รักษาแม่นยำ ตรงจุด  ขณะเดียวกัน ยังเป็นการนำร่องทำให้เกิดเศรษฐกิจสุขภาพในพื้นที่ อีอีซี

11 พ.ย. 2564- ที่ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วย สธ. พร้อมด้วย นพ.ณรงค์  สายวงศ์ รองปลัด สธ. และ22หน่วยงานพันธมิตร ร่วมดำเนินงานภายใต้แผนจัดตั้งจีโนมิกส์ประเทศไทย เพื่อดำเนินการถอดรหัสพันธุกรรม ทั้งจีโนมของอาสาสมัครคนไทย ภายใต้แผนงานจีโนมิกส์ประเทศไทย จากอาสาสมัครที่ร่วมโครงการ จำนวน 50,000 ราย โดยศูนย์บริการฯ ตั้งขึ้นภายในอาคาร 10 ปี เภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) อนุมัติให้จัดตั้งเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ(อีอีซี) ซึ่งในปี 2563 ได้มีการเตรียมการมาอย่างต่อเนื่องทั้งการกำหนดรายละเอียดทางด้านเทคนิค และวิธีการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม 

ความสำคัญของการพัฒนาการวิจัยด้านการแพทย์จีโนมิกส์ มีประโยชน์ทางการแพทย์ ที่จะศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรม ค้นหาความผิดปกติบนจีโนมของประชากรไทย เพื่อเป็นฐานข้อมูลจีโนมอ้างอิง ตลอดจนเพื่อการศึกษาไปข้างหน้าแบบระยะยาว ในการวิเคราะห์ สังเคราะห์หาปัจจัย ที่มีความเกี่ยวข้องระหว่างยีนกับสุขภาพ หรือการเกิดโรคต่างๆ โดยการถอดรหัสพันธุกรรมของคนไทย ในแผนงานจีโนมิกส์ประเทศไทย มุ่งเป้าใน 5 กลุ่มโรค ได้แก่ กลุ่มโรคมะเร็ง โรคที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยและหายาก โรคติดเชื้อ โรคไม่ติดต่อ และกลุ่มเภสัชพันธุศาสตร์ ป้องกันการแพ้ยาและการเลือกใช้ยาที่เหมาะสม

ดร.สาธิต กล่าวว่า  โครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุขไทยครั้งสำคัญ  ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับประเทศในเชิงของการศึกษาวิจัย และการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในทางการแพทย์ เพื่อช่วยในการวินิจฉัย รักษา และป้องกันโรค ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ในรูปแบบที่เราเรียกว่า “การแพทย์แม่นยำ หรือ precision medicine” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำไปใช้ในการรักษาที่อยู่ในระบบประกันสุขภาพไทย ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง ทั้งยังส่งผลให้ประเทศไทยสามารถลดอัตราการเกิดโรคลงได้ถึงร้อยละ 10

“นอกจากนี้ ผลที่ได้จากการศึกษาวิจัย จะช่วยต่อยอดทั้งการรักษาพยาบาล การส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการใหม่ให้เกิดขึ้นทั้งในภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงการขยายตัวทางธุรกิจต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์จีโนมิกส์ ซึ่งถือเป็นการลงทุนและวางรากฐานเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง พร้อมที่จะเชื่อมโยงกับเวทีโลก หรือก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลรหัสพันธุกรรมต่อไปในอนาคต” ดร.สาธิต กล่าว 

นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.) กล่าวว่า หัวใจสำคัญของโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ในพื้นที่ อีอีซี หน้าที่ของ สวรส.คือจะต้องจัดการถอดรหัสพันธุกรรมของคนไทยจากอาสาสมัครที่เป็นตัวอย่าง 50,000 รายภายในระยะเวลา 5 ปี สวรส. ได้ร่วมกับ สกพอ. ดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีความรู้ ความสามารถ และคัดเลือกในรูปของคณะกรรมการกำหนดรายละเอียดขอบเขตงานจ้างบริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม ซึ่งความยากของการดำเนินงานในโครงการนี้มีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.การจัดจ้างเป็นการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ใหม่มาก จึงเลือกพื้นที่จัดตั้งศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ในอีอีซี เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเอกชนเข้ามาลงทุน และ 2.เป็นการประกวดราคาที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขว่าผู้ประกอบการต้องเป็น ผู้นำเข้าเทคโนโลยี และต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าว รวมทั้งต้องมีบุคลากรสัญชาติไทยร่วมอยู่ในโครงการด้วย

“การแพทย์จีโนมิกส์ เป็นการสร้างนวัตกรรมใหม่ สำหรับการรักษาพยาบาลและการวิจัยทางการแพทย์ ดังนั้น การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาด้านการแพทย์จีโนมิกส์ ภายใต้แผนงานจีโนมิกส์ประเทศไทย จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การยกระดับประเทศ ทั้งในด้านคุณภาพชีวิตของประชาชน และการพัฒนางานวิจัย ตลอดจนเกิดการแข่งขันทั้งทางด้านอุตสาหกรรมและบริการการแพทย์สมัยใหม่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป”นพ.นพพรกล่าว

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการบอร์ดอีอีซี กล่าวว่า ความร่วมมือฯ ในวันนี้ ถือเป็นก้าวแรกในการส่งเสริมการบริการสมัยใหม่ที่มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงด้านการแพทยจ์ีโนมิกส์ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. ด้านการแพทย์และสาธารณสุข จะทำให้การดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนได้ดีขึ้น 2. ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้เกิดการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ จากการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรม มีความร่วมมือด้านการแพทย์จีโนมิกส์กับสถาบันชั้นนำระดับโลก และเกิดการถ่ายทอด เทคโนโลยี และ 3. ด้านเศรษฐกิจและสังคม เป็นการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรภายในประเทศ ทั้งการลงทุนด้านการบริการการแพทย์แม่นยำและการพัฒนายาและเวชภัณฑ์จากข้อมูลจีโนมของคนไทย  

การลงนามสัญญาแผนงานจีโนมิกส์ประเทศไทย เป็นความร่วมมือของพันธมิตร 22 หน่วยงาน อาทิ สธ.อว. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.),  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), สวรส., ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS), สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.), กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์,ทีมวิจัยคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รวมไปถึงมหาวิทยาลัยบูรพา  มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 
ขณะที่ ความร่วมมือจากภาคเอกชน เป็นกลุ่มกิจการร่วมค้าไทยโอมิกส์ ประกอบด้วย บริษัท จีโนมิกส์ อินเวชั่น จำกัด บริษัทเอไอดี จีโนมิกส์ จำกัด และบริษัท เซินเจิ้น เจ่าจือเด้า เทคโนโลยี จำกัด
 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โควิดพุ่ง! ไทยติดเชื้อใหม่รอบสัปดาห์ 630 ราย ดับเพิ่ม 5 คน

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายสัปดาห์ว่า ระหว่างวันที่ 17 - 23 มีนาคม 2567 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รักษาในโรงพยาบาล (รายสัปดาห์) 630 ราย

ไทยติดโควิดใหม่รอบสัปดาห์ 501 ราย ดับเพิ่ม 4 คน

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายสัปดาห์ว่า ระหว่างวันที่ 10 - 16 มีนาคม 2567 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รักษาในโรงพยาบาล (รายสัปดาห์) 501 ราย

กก.บำบัดผู้ติดยาเสพติด สั่งขยาย CBTx  ชุมชนล้อมรักษ์ทั่วปท. บำบัดผู้ป่วยกลุ่มใหญ่

‘สมศักดิ์’ ถก กก.บำบัดผู้ติดยาเสพติด สั่ง ขยาย ‘CBTx ชุมชนล้อมรักษ์’ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ หลังช่วยบำบัดผู้ป่วยกลุ่มใหญ่สุด เผย ปี 67 มีผู้ป่วยยาเสพติดสะสม 4.6 หมื่นคน เป็นสีเขียว 3.6 หมื่นคนรับ บำบัดเป็นปลายน้ำ ต้องเร่งแก้ต้นน้ำ

ไทยติดโควิดใหม่รอบสัปดาห์ 446 ราย ดับเพิ่ม 3 คน

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายสัปดาห์ว่า ระหว่างวันที่ 2567 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รักษาในโรงพยาบาล (รายสัปดาห์) 446 ราย