สมาคมสื่อจัดเวทีเสวนา 'ปฏิรูปตำรวจ' ยกปมร้อน 'กำนันนก' องค์กรสีกากีเสื่อม

เสวนา “ปฏิรูปตำรวจ” ยกปมร้อน “กำนันนก” สะท้อนรัฐซ้อนรัฐ องค์กรสีกากีเสื่อม ล้มเหลว ซื้อขายเก้าอี้-รับส่วย-แสวงอำนาจ “วิชา” หวั่นเป็นชนวนกลียุค

17 ก ย. 2566 -ที่ทำการชั่วคราวสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย อาคารบางซื่อจังชั่น (ตึกแดง) สมาคมนักข่าวฯจัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนา ครั้งที่ 2/2566 หัวข้อ “ปฏิรูปตำรวจ” กู้วิกฤตศรัทธาหรือดิ่งเหว?” โดยมีคณะวิทยากรผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่เคยเป็นหัวหน้าคณะทำงานชุดพิเศษ สอบข้อเท็จจริงคดีตำรวจ อัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส , พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย)

ศาสตราจารย์พิเศษวิชา กล่าวว่า การปฎิรูปตำรวจมีการพูดกันมานานแล้ว ซึ่งงานของตำรวจต้องใกล้ชิดประชาชนเพื่อความอุ่นใจ ความปลอดภัย และสันติสุข แต่องค์กรตำรวจมีเจ้าหน้าที่จำนวนมาก 2-3 แสนคนและเป็นองค์กรรวมศูนย์ที่ส่วนกลาง ซึ่งผู้บังคับบัญชาตำรวจแห่งชาติดูแลแต่จะสามารถควบคุมเจ้าหน้าที่ 2-3 แสนคนไหวหรือไม่ นอกจากนี้ตำรวจยังเป็นองค์กรแห่งอำนาจตั้งแต่จับกุม ควบคุมตัว ทำให้คนสิ้นอิสรภาพ หรือทำให้คนหลุดจากถูกลงโทษที่ชี้เป็นชี้ตายได้ รวมถึงยังมีระบบอุปถัมภ์ในองค์กรที่ยั่งยืนสืบทอดกันมา ทำให้มีการพูดถึงการซื้อขายตำแหน่ง การมีส่วย หรือมีการครอบงำโดยกระบวนการภายนอกซึ่งเป็นผลประโยชน์มากมายมหาศาล ซึ่งไม่ใช่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียว แต่มีการค้ำชูซึ่งกันและกันในระบบอุปถัมภ์

“สมัยผมเป็น ป.ป.ช.ครั้งแรกเจอคดีส่วยยาเสพติด เป็นการจับครั้งใหญ่มากมีการรื้อกันว่ามีใครบ้างในสมุดเล่มนั้นปรากฏว่า ในที่สมุดหายไปไม่รู้ว่าใครรับส่วยบ้าง แต่ผมรู้ว่ามีอยู่ และสุดท้ายก็จับได้แต่ตัวจิ๊บจ๊อย ไม่ถึงตัวข้างบน ก็ทำให้รู้ว่ามีอำนาจซ้อนรัฐ”ศาสตราจารย์พิเศษวิชา กล่าว

ศาสตราจารย์พิเศษวิชา กล่าวต่อว่า ขณะที่อำนาจในการจัดซื้อจัดจ้างที่รวมศูนย์อยู่ที่ อบต. อบจ. ทำให้คดีที่เกี่ยวกับฮั็วจับตรงก็เจอทั้งหมด จึงไม่ใช่เรื่องกำนันนกเท่านั้นที่รวยมหาศาล แต่คนอื่นก็นั่งเงียบๆ จึงไม่เกิดเรื่อง แต่เป็นกระบวนการที่รู้กันและกระซิบบอกกันว่าใครสายใคร เพื่อมีส่วนช่วยให้อยูรอดปลอดภัยในการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะฉะนั้นระบบของประเทศไทยที่เป็น “รัฐซ้อนรัฐ” ที่มีเป็นไปตามกฎหมายและเป็นระบบใต้ดิน ซึ่งระบบนี้ก็มีอยู่ในกระทรวง ทบวง กรมก็มีด้วย”ศาสตราจารย์พิเศษวิชา กล่าว

ศาสตราจารย์พิเศษวิชา กล่าวอีกว่า เหตุใดจึงเกิดคดีเหล่านี้เป็นประจำไม่ว่าจะเป็นคดีบอส คดีผู้กำกับคลุมหัวผู้ต้องหา หรือมาคดีกำนันนกที่ฆ่าตำรวจตาย จะเป็นตัวอย่างที่แรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่โลกนี้เปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน แต่ทำไมยังอยู่ภายใต้อำนาจองค์กรใต้ดินเหล่านี้อยู่ ดังนี้หากให้มีอำนาจรัฐซ้อนรัฐแล้วไม่กำจัดออกไปในที่สุดแล้วจะเกิดกลียุค
“มันเริ่มผันแปรถ้าไปอ่านที่เขียนไว้ในก็อดฟาเธอร์กระบวนการนี้เป็นการฟอกเงิน และฟอกคน เพื่อส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือแล้วส่งมาในองค์กรต่างๆ ก็อดฟาเธอร์บอกเลยว่าการสิ้นสุดลงคือมานั่งอยู่ในรัฐเอง มาเป็นรัฐมนตรีเอง มาเป็นผู้จัดการประเทศเอง”ศาสตราจารย์พิเศษวิชา กล่าว

ส่วนการปฏิรูปองค์กรตำรวจจะแก้ที่จุดใดนั้น ศาสตราจารย์พิเศษวิชา กล่าววว่า ต้องลดองค์กรให้เล็กลง ไม่ใช่การรวมศูนย์อำนาจแบบนี้ เช่น เนเธอเร์แลนด์ แยกระหว่างตำรวจนครบาลและตำรวจภูธร ซึ่งอาจจำเป็นสำหรับเมืองใหญ่เพื่อการบริหาร โดยตำรวจภูธรให้แยกไปเลยอย่างเช่น ญี่ปุ่นมีของการแต่งตั้งด้วยตัวเองแต่ละจังหวัด และมีตำรวจชุมชนที่เรียกว่า “โคบัง” ที่ทำหน้าที่เป็นตำรวจของประชาชนไม่ใช่ตำรวจของ “นาย” จึงต้องสลายองค์กรอำนาจและมาร่วมมือกับชุมชน ที่สำคัญการฝึกอบรมต่างๆ ทำเพื่อสถาปนาอำนาจและคอนเนคชั่นเท่านั้น จนกลายเป็นการครอบงำจากวัฒนธรรมขององค์กรตำรวจด้วยกันเอง

“กระบวนการจัดการอย่างน้อยเรื่องของโรงพักใน พรบ.ตำรวจฉบับปฏิรูปต้องทำเร่งด่วนในเรื่องคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมของตำรวจ ซึ่งจะเป็นส่วนดีๆ ของ พรบ.นี้ที่ต้องทำให้จริงจัง ถ้ารัฐบาลใหม่จริงใจ ช่วยนำพรบ.สอบสวนคดีอาญาขึ้นมาได้หรือไม่ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญปี 2560 จึงอยากให้นำมาปัดฝุ่นโดยให้สภาพิจารณาว่าเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้มีกสนยกร่างไว้เรียบร้อยแล้ว”ศาสตราจารย์พิเศษวิชา กล่าว

ส่วนตำแหน่งนายพลตำรวจนั้น ศาสตราจารย์พิเศษวิชา กล่าวว องค์กรตำรวจเป็นรูปแบบเดียวเช่นกับกองทัพ จึงต้องนำรูปแบบตำรวจประชาชนมาใช้ ไม่ใช่รูปแบบองค์กรอำนาจที่ใช้ยุทโธปกรณ์หรือการมีชั้นยศ ทำให้การทำงานของตำรวจที่ต้องแก้ไขปัญหาให้ประชาชนก็ถูกพรากออกไปด้วย

ด้านดร.มานะ กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องชั่วร้ายที่สะท้อนการคอรัปชั่นของระบบราชการ ซึ่งเป็นภาพระบบราชการที่ล้มเหลวทุจริตคดโกง ซึ่งทุกคนก็รู้กันอยู่ว่าขาดธรรมภิบาล ไร้ความผิดชอบชั่วดี ทำให้ข้าราชที่ดีต้องก้มหัวผู้มีอิทธิพล ถ้าเราไม่พูดเรื่องนี้คนดีจะไม่มีที่ยืนและสังคมไทยเดินต่อไปไม่ได้ โดยเฉพาะองค์กรภารครัฐจะล้มเหลวไม่มีใครจะเชื่อถือ ที่ผ่านมาตำรวจถูกร้องเรียนไปที่ ป.ป.ช.หรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) อยู่เสมอ ก็เห็นว่าประชาชนไม่เชื่อมั่น และได้รับความเดือดร้อนจากองค์กรตำรวจ

ดร.มานะ กล่าวต่อว่า เรื่องส่วยที่เกิดขึ้นนั้นมีการร้องเรียนจากประชาชน หรือจากสมาคมการค้าทั้งไทยและต่างชาติว่ามีการเรียกเก็บส่วย เช่น ส่วยรถบรรทุกมีการชี้เป้าที่ส่วยสติ๊กเกอร์ที่มีเงินหมุนเวียนประมาณหมื่นล้านบาท โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐ คนในกระบวยการยุติธรรม หรือเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้อนถิ่นเข้าไปเกี่ยวข้อง ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ขณะเดียวกันอุปสรรคของระบบไอทีหน่วยงานหลีกเบี่ยงจะป้อนข้อมูลหรือทำข้อมูลที่นำไปใช้งานได้อย่างเช่นเป็นไฟล์ JPEG จึงต้องทำอย่างไรให้หน่วยงานรัฐจริงใจในการเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้

“กรณีกำนันนกประชาชนเห็นชัดเจน เป็นการทำลายเกียรติภูมติของเครื่องแบบถ้าเรื่องนี้จะไปเป็นไฟไหม้ฟาง ถ้าจะต้องปฏิรูปต้องเลือกมุมมิบในสภาฯ ต้องบอกว่าถ้าจะปฏิรูปตำรวจ ประชาชนจะได้อะไร และตำรวจต้องไม่ตบทรัพย์ ต้องไม่ขอค่าดำเนินคดีกับประชาชน ต้องไม่ให้ประชาชนไปขอหลักฐานจากกล้องวงจรปิดเสียเอง หรือเรื่องตั๋วช้างจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร ก็ขอให้ ผบ.ตร.คนใหม่จะทำให้ประชาชนจดจำแบบไหนเท่านั้น”ดร.มานะกล่าว

ขณะที่ พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวว่า คดีกำนันนกสะท้อนในหลายมิติมากกว่าที่เป็นข่าว เวลานี้จะหาทางอกอย่างไร จะพัฒนาตำรวจอย่างไร แต่ทำไมตำรวจที่ต้องใช้คำว่าเลวร้ายขนาดนี้ ขณะนี้เป็นเรื่องขององค์กรแล้วไม่ใช่เป็นเรื่องของบุคคล ที่ผ่านมามาการวิ่งกันในตำแหน่งมีการถามถึงว่าจ่ายเท่าไหร่แพงหรือไม่ ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในองค์กรนี้ ขณะเดียวกันคดีที่ประชาชนไปแจ้งความจากร้อยคดีก็มีไม่เกิน 5 คดีเท่านั้นที่ได้ดำเนินการ และส่วนใหญ่เป็นคดีดังแต่คนจนหมดสิทธิ ทำให้ประชาชนต้องไปร้องภาคส่วนอื่นหรือไปรายการข่าวดังๆ เท่านั้น

“เรื่องส่วยมีทุกเรื่องเลย ทั้งหวยใต้ดิน สถานบริการ บ่อน รถบรรทุก การพนันออนไลน์ต้องจ่ายส่วยทั้งสิ้น ไม่มีการทำผิดกฎหมายใดที่เปิดอยู่แต่ไม่จ่ายเงินให้ตำรวจ”พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว

พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวด้วยว่า การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนจะต้องปฏิรูปองค์กรที่เป็นปัญหาทั้งระบบ โดยต้องลดระบบการปกครองออกจากรูปแบบมีชั้นยศแบบทหารหรือมีความคิดแบบทหาร แต่ตำรวจกลับนำวินัยทหารมาใช้ ทำให้โครงสร้างไม่สอดคล้องกับการทำงานให้ประชาชาเช่นเดียวกับตำรวจหลายแห่งทั่วโลก เพราะการไม่มียศเป็นมิตรกับประชาชนมากกว่า รวมถึงอยากให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้มีอำนาจตรวจสอบตำรวจได้ด้วย

สำหรับกิจกรรม “ราชดำเนินเสวนา” เป็นเวทีสร้างความรู้ความเข้าใจระหว่างผู้สื่อข่าวกับแหล่งข่าวในประเด็นต่างๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยเชิญสื่อมวลชนทุกแขนงเข้าร่วมรับฟังเพื่อเป้าหมายในการพัฒนา และส่งเสริมคุณภาพการทำงานข่าวในปัจจุบัน บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง โดยจะเชิญแหล่งข่าวมาพบปะพูดคุยและตอบคำถามนักข่าวในเวทีดังกล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คุกระนาว! แก๊งตำรวจ-พลเรือน ช่วย 'หน่อง-นก' ยิงสารวัตรศิวเสียชีวิต

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤตมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท 206/2566 คดีหมายเลขแดงที่ อท /2567 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 ยื่นฟ้อง

'สังศิต' เผยแพร่บทความ 'ตำรวจ : เดินหน้าหรือถอยหลัง' หนุนปฏิรูปเป็นตำรวจจังหวัด

รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา เพยแพร่บทความเรื่อง ตำรวจ : เดินหน้าหรือถอยหลัง มีเนื้อหาดังนี้

'จตุพร' จี้นายกฯปฏิรูปองค์กรตำรวจครั้งใหญ่ เพื่อกู้ภาพลักษณ์ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์กรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ หรือ ทนายตั้ม แถลงเส้นทางการเงินพนันออนไลน์โยงตำรวจยศ “บิ๊ก” ว่า

'ตำรวจไทย' ทำผิดอาญาร้ายแรง ยังแต่งเครื่องแบบ พกปืน ตรวจค้น จับประชาชนได้!

ปัจจุบัน ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อ “กระบวนการยุติธรรมทางอาญา” ไม่ว่าชั้นใด ไม่น่าจะมีอะไรให้ผู้คนสงสัยว่ายังมีเหลืออยู่อีกมากน้อยเพียงใด!

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดฟังคำพิพากษา 22 เม.ย. คดีตำรวจช่วยกำนันนก ปมยิงสารวัตรทางหลวง

ที่ห้องพิจารณาคดี 303 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางตลิ่งชัน ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานและวันพิจารณาคดีที่อัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต3 เป็นโจทก์ฟ้อง เจ้าหน้าที่ตํารวจ 16 นาย