หลังสถานการณ์การสู้รบคลี่คลาย อิสราเอลเตรียมนำเข้าแรงงานเก่า-ใหม่ นครพนมพบคนขายแรงงาน วิกฤตจากผลกระทบด้านจิตใจ 9 รายแพทย์ดูแลใกล้ชิด
17 ธ.ค. 2566 -ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา นางออร์นา ซากิฟ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ได้เข้าพบนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อหารือถึงโอกาสในการจัดส่งแรงงานไทย กลับไปทำงานในประเทศอิสราเอล ภายหลังสถานการณ์ความไม่สงบคลี่คลายลง ซึ่งผลการหารือมีแนวโน้มว่า หากสถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว คาดว่าแรงงานไทยกลุ่มเดิมที่เดินทางกลับประเทศไทย ในช่วงเกิดการสู้รบกับกลุ่มฮามาส เมื่อต้นเดือนตุลาคม 66 ที่ยังประสงค์จะเดินทางไปทำงานในอิสราเอล
ทั้งนี้ ทาง รมว.แรงงาน ได้ขอให้สถานทูตฯอำนวยความสะดวก ด้วยการประสานการจัดสรรตำแหน่ง รวมทั้งคุ้มครองสวัสดิการให้แก่แรงงานกลุ่มนี้ด้วย และนำไปสู่ความร่วมมือในการจัดส่งแรงงานไทยกลับไปยังอิสราเอล หลังสถานการณ์คลี่คลาย โดยกระทรวงแรงงานพร้อมที่จะจัดส่งนักรบแรงงาน ทั้งคนเก่าและคนใหม่ ไปทำงานภาคการเกษตรหรือภาคอื่นๆ ในเวลาที่เหมาะสม โดยต้องมีการลงนาม MOU ในข้อตกลงต่างๆให้แล้วเสร็จ ก่อนจะส่งแรงงานไปทำงานที่อิสราเอล ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า อิสราเอลดูแลแรงงานไทยเสมือนคนในประเทศ และดูแลแรงงานที่ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต ให้ได้รับเงินชดเชยแก่ครอบครัว และทายาทผู้เสียชีวิตทุกราย
ด้าน จังหวัดนครพนม ซึ่งมีประชาชนเดินทางไปขายแรงงานในประเทศต่างๆ กว่า 2,000 คน ในส่วนของอิสราเอลพบผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ จำนวน 579 คน ในจำนวนดังกล่าวมีเสียชีวิต 2 บาดเจ็บ 1 และถูกจับไปเป็นตัวประกัน 5 คน แต่ได้รับการปล่อยตัวมาหมดแล้ว โดยมีข้อมูลว่า อ.เรณูนคร มีแรงงานไปอยู่ที่อิสราเอลมากสุดคือ 186 คน รองลงมาเป็น อ.นาหว้า 62 คน และ อ.โพนสวรรค์ 57 คนตามลำดับ
ด้านการช่วยเหลือเยียวยาจิตใจ มีกลุ่มเสี่ยงจากผลกระทบ 31 ราย มีจำนวน 9 รายอยู่ในภาวะวิกฤต และมี 6 รายที่ต้องรักษาด้วยยา ส่วนอีก 548 รายถือเป็นกลุ่มปกติ ซึ่งในอนาคตหากสถานการณ์คลี่คลาย กลุ่มเสี่ยงทั้ง 31 ราย หากต้องการเดินทางกลับไปทำงาน ต้องได้รับผลการประเมินภาวะจิตใจจากแพทย์ก่อน
ทั้งนี้ มีข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านแรงงาน พบว่ากว่า 90 % มีความต้องการกลับไปทำงานที่อิสราเอลอีกครั้ง เนื่องจากได้ค่าตอบแทนที่สูง และทำงานเป็นรายชั่วโมง แม้จะทราบดีว่าเป็นจำพวกงานไร้ฝีมือ ทั้งสกปรก อันตราย และเป็นงานหนัก ซึ่งชาวอิสราเอลไม่ทำกัน โดยทางการอิสราเอลอนุญาตนำเข้าแรงงานต่างชาติใน 4 ประเภทกิจการเท่านั้น คือ 1.งานเกษตร 2.การก่อสร้าง 3.งานบริการ (ดูแลคนชราและผู้พิการ) และ 4.ภาคอุตสาหกรรมบริการ และร้านอาหาร
สำหรับอัตราค่าจ้างแรงงานไทยในอิสราเอล รมว.กระทรวงแรงงานอิสราเอล ได้ลงนามหนังสือขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 5,571.75 เชคเกล หรือชั่วโมงละ 30.61 เชคเกล (1 เชคเกล=9 บาทไทย) สำหรับการทำงานเดือนละ 182 ชั่วโมง เมื่อคิดเป็นเงินไทยคนงานจะได้เงินส่งกลับบ้าน ตกเดือนละประมาณ 51,354.99 บาท แต่ก็มีแรงงานไทยจำนวนไม่น้อยที่ได้เงินเดือนเกือบ 100,000 บาท ซึ่งขึ้นอยู่ที่นายจ้างไว้ใจมอบหมายงานให้ทำ อิสราเอลจึงเป็นประเทศคนไทยต้องการไปขุดทองมากที่สุด รองลงมาเป็นประเทศเกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รบ. ชม 2 แรงงานไทยสร้างชื่อ คว้ารางวัลแรงงานคุณภาพขวัญใจนายจ้างไต้หวัน
รัฐบาลชื่นชม 2 แรงงานไทย สร้างชื่อเสียงด้านแรงงาน คว้ารางวัลแรงงานคุณภาพ เนื่องในวันแรงงานสากล
นายกฯ ร่วมผู้นำ 17 ประเทศ แถลงเรียกร้องปล่อยตัวประกันในกาซา
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "วันนี้ ผมร่วมกับผู้นำ 17 ประเทศที่มีตัวประกันที่ยังอยู่ในกาซา ออกถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันทั้งหมด
'พิพัฒน์' เริ่มแล้ว สางปัญหา กองทุนประกันสังคม เยือนญี่ปุ่น หาข้อมูล 3 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หวังเพิ่มผลกำไร จาก 2.4% เป็น 5% หรือ 1.2 แสนล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้ถึงจุดล้มละลาย ในปี พ.ศ.2597 ย้ำฝ่ายวิเคราะห์ กองทุนประกันสังคม ต้องศึกษาความเป็นไปได้ พร้อมขีดเส้น ต้องมีความน่าเชื่อถือ ระดับ Triple B
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงงาน กล่าวถึงการเดินทางไปราชการที่ประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 5-13 เมษายนที่ผ่านมา ว่า ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้ไปเข้าพบและศึกษาดูงาน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนของประเทศญี่ปุ่น 3 แห่ง
“พิพัฒน์” รุกเปิดตลาดแรงงานญี่ปุ่นภาคท่องเที่ยว เจรจา รร.ดุสิตธานี เกียวโต ดันส่งแรงงานไทยไปทำงานเพิ่ม
วันที่ 8 เมษายน 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์
จบทริปเยือนเกาหลีใต้ ได้สวย ! "พิพัฒน์" หารือ รมว.แรงงานเกาหลี เพิ่มโควตารัฐจัดส่งแรงงานอีก 15%
วันที่ 14 มีนาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน และนายสมาสภ์
ประสบผลสำเร็จ ! พิพัฒน์ เยือนเกาหลี เจรจา 5 เอกชนยักษ์ใหญ่อู่ต่อเรือ เพิ่มการจ้างแรงงาน ทันที 3 พันคน
วันที่ 13 มีนาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้แทนสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย และสมาคมการจัดหางานไทยไปต่างประเทศ