ฉิบหายแล้ว 'จตุพร' ลากไส้ 'ทักษิณ-เพื่อไทย' ประจาน!

จตุพร ทักษิณ

'จตุพร-อดีตประธานนปช.' ทิ้งบอมบ์ 'ทักษิณ-เพื่อไทย' รอบนี้ลากไส้ประจาน เคยเสนอถอดเสื้อแดง แต่กลับปลุกเสื้อแดงขึ้นมาใหม่หวังแลนด์สไลด์ ซัดวันนี้ปัญหาอยู่ที่ทักษิณไม่กล้ากลับมาเอง หัดซื่อสัตย์ต่อประชาชนประเทศชาติเสียบ้าง เตือนถ้าชนะเลือกตั้งแล้วทำแบบเดิมจะฉิบหายแบบเดิม!

21 ม.ค.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดง เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ต้องไม่ลืม อำนาจเป็นของประชาชน" เมื่อ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา

โดย นายจตุพร ชี้แจงกรณีประชาชนบ้างฝ่ายสงสัยมีปัญหากับนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ว่า การวิพากษ์วิจารณ์นั้น ถ้าสิ่งที่พูดไม่ตรงข้อเท็จจริงแล้ว สามารถตอบโต้ชี้แจงได้ทุกกรณี เพราะสถานการณ์การเมืองข้างหน้าเป็นสิ่งที่น่ากังวล หากตนยังเพิกเฉย ถ้ามัวคิดถึงประโยชน์ส่วนตน ไม่คิดถึงบ้านเมือง ย่อมเป็นการทำร้ายประเทศเช่นกัน แต่ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งเป็นพรรคเสียงอันดับหนึ่ง จึงต้องกระตุกเตือนให้ทบทวนตัวเอง

“ผมมักพูดเสมอว่า การซื่อสัตย์กับคนไม่ซื่อสัตย์ ถ้าเป็นเรื่องเฉพาะตัวก็ยอมรับกันได้ เมื่อรักเองต้องเจ็บเอง ให้ถูกใช้เอง ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติจะนำพาสู่ความหายนะ เกิดความเสียหาย เพราะชัยชนะที่ได้มันสั้นทุกครั้งคราว และต้องแลกกับการถูกล้มกระดานแล้วแพ้ระยะยาว และสู่ความพินาศย่อยยับทุกครั้ง” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวต่อว่า แม้ปัจจัยการยึดอำนาจเป็นสิ่งภายนอก ควบคุมไม่ได้ แต่สามารถป้องกันได้โดยผู้มีอำนาจต้องไม่โกง ไม่ลุแก่อำนาจ และต้องไม่คิดว่าประเทศนี้เป็นเจ้าของจะทำอะไรก็ได้ ยิ่งได้รับคะแนนมากเท่าไรก็หลงไหลว่า ตนเองมีอำนาจมากเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า อำนาจมากก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น

แม้วันนี้ประชาชนสิ้นหวัง แต่ยังคาดหวังว่า เมื่อมีเลือกตั้งจะยังไปเลือกตั้ง ตนจึงมาบอกให้สงสารประชาชนบ้างกับการพาประชาชนไปแพ้ทุกครั้ง แล้วโทษแต่การยึดอำนาจอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม หากเป็นรัฐบาลไม่โกง และซื่อสัตย์ต่อประชาชน ทหารหน้าไหนจะกล้ามายึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ยึดอำนาจปี 2557) และพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (ยึดอำนาจปี 2549) ก็ไม่มีวันมายึดอำนาจได้เลย

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีการย้ายขั้วสลับข้างมาสังกัดพรรคเพื่อไทย แล้วมีการแถลงขอโทษนายทักษิณ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรว่า เรื่องแรกถ้าไม่สถาปนาตัวเองว่าเป็นเจ้าของประชาธิปไตยลำพังด้วยการประกาศว่า ย้ายออกเพื่อไทยเป็นคนทรยศ เป็นพวกงูเห่า ไปไล่หนูตีงูเห่าที่ศรีสะเกษ จนทำให้สังคมประจักษ์กับพฤติกรรมนักการเมืองย้ายพรรคไม่ได้นั้น หากทำได้ตามที่พูดแล้ว คนจะสรรเสริญ ว่า เป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง และประชาชนก็ไม่อาจยอมรับพฤติกรรมนักการเมืองแบบนี้ได้

ขณะที่การปฏิบัติเป็นคนละเรื่อง โดยไปเปิดตัวคนที่ย้ายจาก พปชร.เข้าเพื่อไทยในหลายจังหวัดในภาคอีสาน กระทั่งรับอดีตเลขาธิการพรรคไทยภักดี ผู้ร่วมชุมนุม กปปส.มาเข้าเพื่อไทยแล้วขอโทษ ว่าไปสังเกตุการชุมนุม กปปส. ดังนั้นพฤติกรรมของเพื่อไทยจึงไม่มีอะไรที่แตกต่างกันกับพรรคไม่มีประชาธิปไตย

“ที่เละไปกว่านั้น คือ การจัดพิธีต้อนรับคนที่ออกจากพรรคก้าวไกล คุณใช้อะไรคิด เพราะตรรกะแบบนี้เลวร้าย ผมจึงอยากเรียนถึงพี่น้องคนเสื้อแดง หลายคนไม่เข้าใจว่า เราต้องซื่อสัตย์ต่อคนที่ตาย โดยหลังการต่อสู้และก่อนผมจะเข้าคุกนั้น อดีตนายกฯ ทักษิณ วีดีโอลิงค์มาที่ปราศรัยร้อยเอ็ด บอกจะมีการเลือกตั้งให้พี่น้องถอดเสื้อแดงออก ไม่ต้องใส่แล้ว คนก็โห่ ผมจึงโทรศัพท์ไปหาบอกว่า คนรับที่พูดไม่ได้”

นายจตุพร ระบุว่า ทักษิณ จะพูดอะไรก็ได้ พูดถึงเสียงปืนนัดแรก พูดพ่ายเรือมาส่ง ความจริงก็ถีบหัวเรือเลย แต่เราจะปล่อยให้ความผิดพลาดมันเดินต่อไปไมได้ เราจึงวิจารณ์ เมื่อเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ย่อมมีถูกมีผิด ไม่ใช่ถูกทุกเรื่อง กำลังสถาปนาตัวเองเป็นเทพเจ้าหรืออย่างไร คือ หมายความว่าพูดอะไรก็ถูกหมด ทั้งที่พูดผิดหลายเรื่อง ทำไม่ถูกหลายเรื่อง และทำถูกก็มีหลายเรื่อง นี่เป็นหลักมนุษย์ธรรมดา ถ้าไม่วิพากษ์วิจารณ์กันในวันที่เรากำลังวิจารณ์กันได้ เรากำลังเดินเข้าไปในวงจรเดิม ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น

อดีตประธานนปช. กล่าวต่อไปว่า การต่อสู้ของประชาชนเมื่อปี 2553 ไม่ได้อะไรที่คุ้มค่าตามเจตนารมณ์เลย รัฐบาลในยุคนั้น (ชุดยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ยังไม่กล้าลงนามกับศาลอาญาระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือที่เรียกว่า ICC (International Criminal Court) แค่กลัว พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจ แต่สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอด ถูก พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจจนได้ อีกทั้งไม่สร้างขบวนการต่อสู้ของประชาชนแล้ว ยังไปแบ่งแยกและทำลายขบวนการของประชาชนในแต่ละที่อีกด้วย

"มีคนมาถามผมว่า ทำไมคนเสื้อแดงกลายเป็นคนเสื้อส้มจำนวนมาก ผมเล่าแบบขำๆ และเจ็บใจตัวเอง ว่า สมัยก่อนพรรคอนาคตใหม่ (ชื่อเดิมพรรคก้าวไกล ก่อนถูกยุบ) ตึกติดกับพรรคเพื่อไทย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มาเก็บเสื้อแดงที่ถังขยะหน้าเพื่อไทย ไปล้างทำความสะอาด เอาไปใส่ แล้วเอาเสื้อส้มมาให้ใส่ ซึ่งจะสังเกตว่าหลังปี 2554 มาไม่ได้ใช้ขบวนการเสื้อแดงในการหาเสียงเลย ไม่ว่าจะไปในฐานะพรรคเพื่อไทยหรือพรรคไทยรักษาชาติที่ถูกยุบก็ตาม แต่มาครั้งนี้เพื่อไทยต้องการเสียงแลนด์สไลด์ ก็ปลุกคนเสื้อแดงขึ้นมาใหม่อีก เหมือนปลุกผีที่เคยถูกทอดทิ้งขวางไปแล้ว และคงเพิ่งนึกได้ เวลาอยากก็ต้องการ เมื่อไม่อยากก็ทิ้งขวางไป"

นายจตุพร กล่าวการเรียกร้องหาความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงในเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี 2553 ว่า คุณไม่ได้กระทำเลย ตนทนเยอะแยะมากมาย ความจริงคดีก่อการร้ายที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องนั้น จำเลยที่หนึ่งคือ ทักษิณ วนผมเป็นจำเลยที่สาม แต่อัยการไม่สั่งฟ้องทักษิณ ซึ่งต่อมาอัยการคนนี้ก็เคยเป็นแคนดิเดตนายกฯ และเป็น รมต. หมายความว่าอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องไม่อดทนไปตลอดชีวิต เราต้องอธิบายถูกเป็นถูก ผิดก็เป็นผิด

“จนมาถึงจุดนี้ วันนี้ผมไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่อ และขณะเดียวกันผมก็ไม่ต้องการให้ผู้มาใหม่มาทำแบบเดิม เพราะเราจะเจอคนแบบ พล.อ.ประยุทธ์ ต่ออีก 8-9-10 ปี อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นจึงต้องพูดความจริงกับประชาชน”

นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ ใครวางแผนที่จะมาตอบโต้ตนนั้น ให้ลองนึกกันช้าๆ ว่ามีตรงไหนไม่เป็นความจริงบ้าง ขณะเดียวกันตนขอสงวนสิทธิ์ตอบโต้ทุกกรณี และจะหนักมากกว่านี้อีก วันนี้ตนไม่ได้ขัดขวางชัยชนะของเพื่อไทย แต่ไม่เห็นด้วยกับการชนะด้วยท่วงทำนองการสถาปนาว่า ตนเองเป็นนัก ประชาธิปไตย

นายจตุพร ย้ำว่าการย้ายพรรคสลับขั้ว แม้คุณไม่เห็นด้วย แต่กระทำเสียเองแล้วหนักกว่าใครเขา เพราะคนอื่นไม่ประกาศ แต่คุณประกาศว่าพรรคเป็นคนดี แล้วแตกต่างอะไรจากหน้ากากคนดีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับ แต่คุณหน้ากากประชาธิปไตย มันก็ปลอมทั้งคู่

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ใช่ความไม่พอใจส่วนตัว หลังยึดอำนาจตนฟัดกับพวกยึดอำนาจมาตลอดจนถูกถอนประกัน ต้องติดคุกมา 5 รอบ วันนี้ที่พูดต้องการอธิบายว่า ถ้าไม่พูดความจริงแล้ว บ้านนี้หาความหวังไม่ได้ ประเทศช่วง 8-9 ปี เป็นความยากลำบาก ถ้าคุณกำลังทำให้เกิดเหตุการณ์ไปแบบเดิมๆก็เห็นอยู่แล้ว

“คนในพรรคกล้าปฏิเสธหรือไม่ว่า รัฐมนตรีโท สั่งรัฐมนตรีตรีทำกันอย่างไร และต้องไปติดคุกอย่างไร ถ้าไม่เลิกพฤติกรรมเหล่านี้คุณก็โดนอีก อาจต้องไปอยู่ต่างประเทศ แต่คนไทยที่ยังอยู่ในประเทศมันต้องจมปลักกับความผิดพลาดมา 8 ปีเสียเวลา แก่กันไปเปล่าๆ เลย แทนที่จะมีความหวัง

“ดังนั้น การฉีดวัคซีนประชาธิปไตย ต้องป้องกันประชาธิปไตย และซื่อสัตย์กับประชาชน ถ้ามาซื่อสัตย์กับคนไม่ซื่อสัตย์กับประเทศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าถามว่าหนทางข้างหน้า ใครกล้าเข้ามาเปลี่ยนแปลง เอาแค่การประมูลวงโคจรดาวเทียมไทยคม 6 วง ซึ่งน่ากลัวมาก เพราะเป็นการประมูลวงโคจร ไม่ได้ประมูลดาวเทียม แต่เอาตัวดาวเทียมขึ้นไปเอง

ที่มาบอกเรื่องนี้กับประชาชนและสื่อกันดังๆ อยากให้คิดบ้าง แม้ฟังแล้วไม่พอใจแน่นอน แต่ลองนึกช้าๆ ว่ามีตรงไหนที่ผมพูดเท็จ มีอะไรไม่เป็นความจริงบ้าง และประเทศนี้ไม่ใช่ให้ใคร หรือตระกูลใดจะมาทำอะไรก็ได้ แล้วอย่าเอาความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้วางใจของประชาชน มาทรยศต่อประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า ความจริงประชาชนอาจไม่รู้ดีทั้งหมด แต่คุณรู้ดีที่สุดว่า คุณทำอะไรไปบ้าง ความจริงถ้าประชาชนเป็นใหญ่บ้านเมืองไม่เป็นแบบนี้”

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า มีคำกล่าวว่า เคารพประชาชน เสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ สิ่งนั้นเป็นแค่ลมปากเพื่อได้รับความนิยมในวันเลือกตั้ง หลังจากนั้น ก็ให้คืนในปี 2570 คนละ 600 บ. แต่ประชาชนต้องสูญเสียอีกไม่รู้จักจำนวนเท่าไร ตนจึงบอกว่าความสัมพันธ์ของทุนใหญ่ที่เป็นตัวกลางระหว่างคนเก่ากับว่าที่คนใหม่คือความน่ากลัวและความหายนะมากที่สุด

รวมทั้งย้ำว่า ไม่มีปัญหาส่วนตัวกันใดๆ และการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ใช่การทรยศ แต่เป็นการพูดอย่างตรงไปตรงมา ตนเคยบอกว่า คนบางคนทรยศคนอื่นได้ทุกคน แต่จะไม่ยอมให้ใครทรยศตัวเอง ไอ้คนแบบนี้นอกจากเป็นเจ้าของประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นเจ้าของการทรยศหักหลังคนอีก

“ดังนั้น ถ้าคุณควานหาความซื่อสัตย์แล้ว กับตัวเองยังไม่ซื่อสัตย์เลย บ้างครั้งโกหกจนตัวเองเชื่อ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในวันนี้ต้องเอาประเทศให้รอด ถ้าไม่พูดความจริง นั่งแต่สรรเสริญเยินยอท่านนี้ ท่านโน้น เป็นอะไรก็ไม่รู้ปล้นชาติก็ยังเรียกว่าท่าน”

นายจตุพร กล่าวว่า การเดินทางรอบนี้ อยากให้บ้านเมืองเดินไปในทางที่ถูกต้อง แน่นอนเราไม่สามารถที่จะรักษาความรู้สึก เพราะประชาชนส่วนใหญ่เชื่ออย่างที่เขาบอก แต่เราในขณะการต่อสู้ไม่มีตอนไหนที่จะออกนอกเส้นทางต่อสู้ในสนามรบเลย มีแต่ความซื่อสัตย์ในการต่อสู้ แต่ผลพวงจากนั้นไม่ได้สัมผัส

"แต่คนที่ไปต่อสู้ ไปตาย ไม่เจ็บ ไปติดคุก มันไม่แฟร์สำหรับเขา เมื่อคุณต้องการปลุกเรื่องนี้ขึ้นมา ถามในใจว่า คุณให้ความยุติธรรมกับเขาหรือเปล่า ก่อนหน้านี้การไปแสวงหาความยุุติธรรมกับทุกองค์กร แน่นอนไม่ได้

แต่ความยุติธรรที่เกี่ยวข้องกับตัวคุณเอง ที่ต้องคืนความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม คุณได้ให้อย่างแท้จริงหรือเปล่า อำนาจที่มีอยู่ในมือคุณ ในวันที่คุณมีอำนาจจากเลือดเนื้อ ชีวิต และอิสรภาพ คุณตรงไปตรงมากับความตาย กับความบาดเจ็บ กับเลือดเนื้อ กับอิสรภาพดังกล่าวหรือไม่ นี่เป็นเรื่องสำคัญ”

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าต้องการอยู่ในสังคมประจบสอพลอ ท่ามกลางการสรรเสริญเยินยอ ชีวิตไม่ได้เป็นแบบนี้ ถ้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจก็เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ วันหน้าฝ่ายทักษิณ มาต้องเชียร์ทักษิณ ว่าที่จะมีอำนาจก็ต้องเชียร์กันนะ แต่ตนไม่ได้เป็นคนพันธุ์อย่างนั้น ถ้าบอกว่า ฝ่ายทักษิณไม่เคยทำผิดหลายเรื่อง แสดงว่า เราก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองเหมือนกัน ทั้งที่เห็นเต็มตาว่า ทำเรื่องไม่ถูกต้องอันเป็นสาเหตุหลายเรื่อง

นายจตุพร ยืนยันว่าตนกล้าวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไร ก็ต้องกล้าวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายทักษิณ เพราะมิเช่นนั้นก็เป็นการเมืองแบบเดิม และตัวเองถูกมองว่ามีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเหมือนเดิม ฝ่ายตัวเองก็ถูกตลอด อีกทั้งตนเคยต้องทำหน้าที่อธิบายถูกตลอดกันมายาวนานแล้ว คือหมายความว่า อธิบายดำเป็นขาว และขาวเป็นดำกัน

“แต่วันนี้ประเทศจะเป็นแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เราตัดสินใจกันว่า ไม่มีการอวยฝ่ายหนึ่งแล้วถล่มอีกฝ่ายหนึ่ง แต่วันนี้เอาประเทศเป็นตัวตั้ง ไม่เอาด้วยกับ พล.อ.ประยุทธ์ และไม่เห็นด้วยกับวิธีการฝั่งทักษิณทำแบบนี้ ถ้าเราไม่กล้าทำแบบนี้ ลองไปคิดดูว่า จริงหรือไม่ ในอารมณ์ความรู้สึกที่มากด้วยอคติ และบ้านเมืองถ้าฝากไว้กับอคติ ไม่มีเวลาใช้สติทบทวนปัญหาที่ดำรงอยู่ว่า ปัญหาเกิดจากอะไร เราไม่มีทางแก้ไขปัญหาชาติได้เลย”

พร้อมย้ำว่า วันนี้ ทักษิณเองต้องลองนึกดู ยอมรับความจริงเสียบ้าง ว่า ส่วนผิดต้องยอมรับความผิดด้วย ถ้าไม่ยอมรับ มันก็พอๆ กับการแสดงที่ย้ายเข้าพรรคเพื่อไทย แล้วมาแถลงขอโทษ เป็นแค่พิธีกรรม ว่า บัดนี้เขาได้เปล่งวาจาขอโทษ เขาได้เป็นนักประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบแล้ว เจ้าของบริษัทประชาธิปไตยจำกัดขอมอบประชาธิปไตยให้แก่ท่าน แล้วอะไรละ อะไร แล้วไปปลุกเสื้อแดงอีก

"คนเสนอให้ถอดเสื้อแดงคนแรกคือทักษิณเอง หลังจากเสร็จจากการต่อสู้ เถียงมาสิว่าไม่จริง ดังนั้นจึงอยู่ที่การอธิบายมุมไหน ส่วนประยุทธ์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทุกวันอยู่แล้ว บ้านเมืองก็เห็นอยู่แล้วว่า อยู่ไปคือการทำร้ายประเทศ แต่คนที่เข้ามาใหม่ไม่ใช่เข้ามาทำร้ายประเทศอีก เพราะชนะระยะสั้นไปแพ้ระยะยาว คนที่จะเรียงหน้ามาอธิบายจะป้องกันอย่างไง เมื่อตัวเองไม่มีอำนาจอะไรเมื่อถึงเวลานั้น”

พร้อมระบุว่า ตนจึงบอกว่า ตรงไหนไม่จริงให้พูดมา รู้ว่าไม่พอใจ เรื่องทักษิณ กลับบ้านทำให้ตนต้องติดคุก เพราะไปทวงฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษจนถูกฟ้องติดคุก 2 รอบคดีเดียวกันนี้ และเอกสารกระทรวงต่างประเทศที่ฟ้องใหม่ก็เรื่องทักษิณทั้งสิ้น ไม่มีเรื่องตัวเองแม้แต่คดีเดียว ส่วนเรื่องทักษิณ กลับบ้านนั้น ไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหาอะไรกับตน แต่เล่าให้ฟังว่าทักษิณไม่กลับบ้านเอง ตนถ้าเป็นคนหนีคุก ก็ไม่จำเป็นต้องติด 5 ครั้ง

นายจตุพร กล่าวว่า เล่าให้ฟังอีกครั้งว่า วันที่ทักษิณมีโอกาสกลับบ้านมี 2 รอบ คือรอบแรกเมื่อ 19 ก.ย. 2549 อยู่นิวยอร์ก ถูกยึดอำนาจ และรอบสองเลือกตั้ง 13 ธ.ค. 2550 ในนามพรรคพลังประขาชน หาเสียงเอาทักษิณกลับบ้าน แล้วก็ได้กลับในเวลาต่อมา ถัดมาคดีที่ดินรัชดาเมื่อศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้มงวดตัดสินขึ้นมา จึงมีการหารือกันจำนวน ตนเป็นคนหนึ่งในนั้นยืนยันไม่ให้หนีออกไป ถ้าขังคุกขัง คุกก็แตก และเป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ไปตลอดกาล

“ผมเป็นเสียงข้างน้อย ทุกเสียงในนั้นบอกว่า ติดคุกวันเดียวก็ตาย เขาฆ่าแน่ ถามว่าในคุกจะทำได้หรือ เพราะวันนั้นพรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล เมื่อผมไม่เห็นด้วยให้หนี กลายเป็นว่า เหมือนเป็นคนสนับสนุนให้ทักษิณตาย ความจริงการเป็นผู้นำที่เดินเข้าคุกอย่างสง่างาม ประชาชนจะแน่นเรือนจำชนิดคุกแตกแล้วกัน และคนจะแย่งเข้าไปดูแลความปลอดภัยให้”

พร้อมกล่าวย้อนว่า หลังจากนั้นก็มีการเสนอเอาทักษิณกลับบ้านหลากหลายรูปแบบ คดีหลังที่ไม่มีอายุความก็เพิ่มขึ้น ปี 2554 ตนถูกขังคุกอีก เมื่อเลือกตั้งก็ชูประเด็นเลือกยิ่งลักษณ์ พาทักษิณกลับบ้าน เมื่อตนออกจากคุก ก็บอกได้เป็นรัฐบาลแล้วก็เอาทักษิณกลับมาเลย ชนะใหม่ๆ ก็รีบทำเลย กลัวอะไร ประชาชนกำลังคึกอยู่

"เขาบอกว่า ไม่ได้ๆ เรากำลังอ่อนแออยู่ บริหารไปสักพักเริ่มแข็งแรงได้เวลาเอาทักษิณกลับบ้านแล้ว ก็มีเสียงท้วงอีกว่า ไม่ได้ๆ เดี๋ยวเราอ่อนแอ พอตอนปลายรัฐบาลยับเยินทั้งเรื่องสารพัดแล้ว ก็มาเสนอ พรบ.นิรโทษกรรมสุดซอย ก่อนสุดซอยเราเสนอให้ประกาศเป็น พรก.ใช้เฉพาะกับประชาชนก็ไม่เอา จนมาเสนอเป็น พรบ.สุดซอยเฉพาะประชาชน แล้วไปแปลงสาร นำพาไปสู่การเปิดประตูความหายนะทั้งปวงจนบัดนี้”

นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือ ชนะแล้วไม่กลับเอง แลัวเมื่อได้เป็นรัฐบาล ก็ไม่สามารถเอากลับมาได้เอง ความเป็นจริงชนะวันแรกก็เอากลับเลย ต้องเดิมพันตรงไปตรงมา แต่ตัวเองไม่กล้าอีก บริหารสักพักก็ไม่กล้าอีก ดังนั้น เอาทักษิณกลับบ้านจึงเป็นคำพูดทุกระดับ ลามไปถึงเลือกตั้งนายกฯ อบจ. ให้เลือกเพื่อเอาทักษิณกลับบ้าน กระทั่งทักษิณ ก็พูดแล้วพูดอีก บอกเวลาด้วยว่าจะกลับบ้านวันไหน ซึ่งไม่เคยเป็นจริงสักครั้ง

“ปัญหาวันนี้ ตัวทักษิณไม่กล้าที่จะกลับมาเอง แต่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย กล้าติดคุก เมื่อออกมาก็เป็นนายกฯ แต่วันนี้เราไม่ได้หมายความว่าต้องการให้ทักษิณติดคุก แต่เมื่อประสงค์จะกลับบ้านในวันนี้ ไม่มีการนิรโทษฯ ก็ต้องเข้าคุก และสามารถมาได้ทุกเวลา

ต่อมาถ้าอยากกลับอีก ถ้าได้เป็นรัฐบาล วันแรกที่ทำหน้าที่จะพากลับมาหรือไม่ เพราะต้องแฟร์กับประชาชน และต้องตราเป็น พรก. สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่จริง แต่ที่หยิบยกมานั้นก็มันเรียกแอ่นแอ๊น ไม่ได้เรียกคะแนนอย่างเดียว เรียกรถถังด้วย”

นายจตุพร ย้ำว่า ต้องพูดความจริงกับพี่น้องว่า กล้าหรือมั้ย ถ้าชนะแล้วเป็นรัฐบาลวันแรก ประกาศ พรก.เอาทักษิณ กลับมา กล้าหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดมันเป็นเครื่องมือที่ใช่ในการหาเสียง ซึ่งได้คะแนน แต่จะได้รถถังแถมด้วย เพราะไปปลุกโดยไม่จำเป็นเลย ขณะนี้แต่ละฝ่ายต้องนิ่งและฟัง เข้าใจตัวเอง ถ้าเชียร์อย่างไม่ลืมหูตา ถูกยึดอำนาจ ประเทศก็ฉิบหาย

“สิ่งสำคัญที่สุดในวันนี้คุณต้องแฟร์กับประชาชน หัดซื่อสัตย์กับประชาชนเสียบ้าง ซื่อสัตย์กับประเทศเสียบ้าง คือ ทางออกของบ้านเมือง แต่ไม่แน่ใจว่าซื่อสัตย์กับตัวเองหรือเปล่า ถ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อ ประชาชนและประเทศ ชนะแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร”นายจตุพร กล่าวและระบุว่า วันนี้ไม่ได้ขัดขวางชัยชนะ เพราะคุณชนะอยู่แล้ว ถ้าชนะแบบเดิมเราก็จะฉิบหายแบบเดิม ด้วยหลักคิดแบบเดิม ถึงเวลาก็ใช้วิธีโง่ๆ อย่างเรื่องจำนำข้าว มีผู้ส่งออก 5 รายก็สั่งให้ใช้เจ้าเดียว นำลูกเขยไปหย่ากับเมีย แล้วเอามาเป็นเลขา รมว. ก็แบบนี้ไงๆ (ทำหน้าเบ้ ผายมือบอกถึงเป็นพฤติกรรมใช้ไม่ได้)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สุวัจน์' หวนคืนชื่อเดิม 'พรรคชาติพัฒนา' แต่งตั้ง สส.แจ้ เป็นรองหัวหน้าพรรค

พรรคชาติพัฒนากล้า เปิดการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2567 นำโดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า , นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ,

'ชัยเกษม' ออกตัวไม่เกี่ยวปรับครม. ผู้บริหารพรรคจะใช้ให้ทำอะไรก็ได้ สบายๆ

นายชัยเกษม นิติสิริ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เดินทางมาไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ ศาลตา ศาลยาย โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า การเดินทางมาไหว้วันนี้เกี่ยวอะไรกับการปรับ ครม.หรือไม่

ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 20: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ในสายตาผู้ช่วยทูตทหารฝรั่งเศส)

(ต่อจากตอนที่แล้ว) ในรายงานลงวันที่ 24 กันยายน 1932 (พ.ศ. 2475) ของพันโท อองรี รูซ์ ผู้ช่วยทูตทหารบกและทหารเรือประจำสยาม ประจำสถานอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสยาม มีความว่า

'เผ่าภูมิ' ปัดนายกฯ ส่งสัญญาณนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวได้เดินทางมารับเอกสารกรอกแบบฟอร์มตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรี เรียบร้อยแล้ว ว่า ตนไม่ให้คอมเมนท์ ยืนยันว่าขณะ

พรรคร่วมฯ เพียงเห็นชอบเชิงหลักการ รัฐบาลเล่นกลแจกเงินหมื่น หาเสียงนิยมให้พท.

'จตุพร' ซัดรัฐบาลเล่นกลซ่อนเจตนากู้เงินแจกหมื่น เชื่อปั่นความหวังเคลมดิจิทัลหาเสียงนิยมให้เพื่อไทย แต่ ปท.ชิบหายแบกหนี้ก้อนโต ชี้พรรคร่วมฯ เพียงเห็นชอบเชิงหลักการเท่านั้น