'ส.ว.สมชาย' ยกคำวินิจฉัยศาล รธน. ไขปริศนาธรรมการเมืองเรื่องหุ้นไอทีวี

1 มิ.ย.2566 - นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า #ปริศนาธรรมการเมืองเรื่องหุ้นitv

ข้อที่3 คำวิฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร VS คำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความ

การถือหุ้นสื่อitv 42,000หุ้น ของนายพิธา แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี จะทำให้ขาดคุณสมบัติผู้สมัครสสจริงๆหรือ? เป็นเรื่องที่มีประเด็นถกเถียงและมุมมองทางกฎหมายแตกต่างกันมาก จึงยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ2คดีเกี่ยวกับการถือครองหุ้นสื่อที่เหมือนกันของนายธนาธรและนายธัญญ์วาริน อดีตสสพรรคอนาคตใหม่มาเปรียบเทียบกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่แตกต่างกัน2คดี

คดีของนายชาญชัย ผู้สมัคร ส.ส.ปชป. ที่ศาลฎีกาเห็นชอบคืนสิทธิสมัครเลือกตั้งให้ผู้ร้อง และคดีนายรวิพล ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังท้องถิ่นไทย ที่ศาลฎีกาเห็นชอบให้ตัดสิทธิลงสมัคร ส.ส. ตามที่กกต.ตัดสิทธิไว้

หากพิจารณารายละเอียดของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างเข้าใจแล้ว จะเห็นแนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีทั้งเหมือนหรือแตกต่างกับคำพิพากษาศาลฎีกาในบางประเด็นครับ

ส่วนตัวยังยืนยันและเห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต) มีหน้าที่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นที่สุด ด้วยเหตุว่า “คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ”

ส่วน “คำพิพากษาของศาลฎีกานั้นมีผลผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งเท่านั้น ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก “ จึงมีความจำเป็นต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เป็นที่สุดครับ

เชื่อมั่นและเคารพในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นที่สุด และ น้อมรับคำวินิจฉัยที่มีผลผูกพันทุกองค์กรครับ


ข้อมูลประกอบการพิจารณา พร้อมเอกสารแนบแบบตัดย่อมาบางส่วนดังนี้

1)คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีที่14/2562 เมื่อวันที่20 พย 62 วินิจฉัยว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถือหุ้นบริษัทวี-ลัคมีเดีย ที่เป็นธุรกิจสื่อมวลชนแม้ไม่ได้ประกอบกิจการอยู่ แต่ยังมิได้จดทะเบียนเลิกกิจการย่อมพร้อมที่จะประกอบกิจการได้ตลอดเวลา จึงเป็นการถือหุ้นสื่อมวลชนอันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ผู้สมัครสสถือหุ้นสื่อมวลชน และวินิจฉัยให้สมาชิกภาพสส ของนายธนาธรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา101(6) ประกอบมาตรา98(3)นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ในวันที่23พค 2562 โดยให้มีผลทันทีในวันอ่านคำวินิจฉัย

2)คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่20/2563 เมื่อวันที่ 28 ตค 63 วินิจฉัยว่า นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ผู้ถือหุ้นบริษัทเฮดอัพ โปรดักชั่นและบริษัทแอมฟายน์โปรดักชั่น เป็นธุรกิจสื่อมวลชนอันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้
ผู้สมัครสส ถือหุ้นสื่ิอมวลชน และวินิจฉัยให้สมาชิกภาพสสของนายธัญญ์วาริน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา101(6)ประกอบมาตรา98(3)นับแต่วันที่ 6กพ 2562 ซึ่งเป็นวันที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครสส ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต

3)คำพิพากษาศาลฎีกา2พค2566คดีถือหุ้นAISของนาย ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ จำนวน 200 หุ้น ถือว่าเป็นจำนวนน้อยมากไม่อาจครอบงำสื่อมวลชนได้ จึงมีคำพิพากษาให้กกตประกาศเพิ่มรายชื่อ นายชาญชัยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสส จังหวัดนครนายก

4)คำพิพากษาศาลฎีกาคดี1322/2562 คดีนายรวิพล หินผาย ถือหุ้น หจก.รวิพลเรดิโอ ประกอบกิจการสถานีวิทยุชุมชน ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ก็ตาม เมื่อยังไม่จดทะเบียนเลิกกิจการ ย่อมเป็นผู้ถือหุ้นหรือหุ้นส่วนผู้จัดการอยู่ จึงขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา98(3)ที่ห้ามมิให้ผู้สมัครสสถือหุ้นสื่อมวลชน ดังนั้นการที่กกตมีคำสั่งไม่ประกาศให้นายรวิพลเป็นผู้สมัครสส จังหวัดอุดรธานี จึงชอบแล้ว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มติเอกฉันท์! ศาลรธน. ไม่รับคำร้อง 'เรืองไกร' กล่าวหารัฐสภาแก้ รธน.ล้มล้างการปกครอง

‘ศาลรธน.’ มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้อง ‘เรืองไกร’ ปมกล่าวหาประธานรัฐสภา–สมาชิกรัฐสภาใช้สิทธิล้มล้างการปกครอง ชี้การประชุมร่วมแก้รัฐธรรมนูญยังไม่ปรากฏพฤติการณ์เข้าข่ายมาตรา 49 แม้อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการแต่ผู้ร้องมีสิทธิเข้าศาลโดยตรงก็ตาม

คนเสื้อแดงกินแห้ว! ศาล รธน. ไม่รับวินิจฉัย ปม MOA 'ภูมิใจไทย-ปชน.'

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องในคดีที่นายนิยม นพรัตน์ (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ผู้ถูกร้องที่ 1) และนายณัฐพงษ์

ลุ้นกันยาวๆ 24 ธ.ค.ศาล รธน.นัดไต่สวนพยานคดี 'ภูมิธรรม-ทวี' จุ้นคดีฮั้ว สว.

ศาล รธน.นัดไต่สวนพยานคดีสถานะ 'ภูมิธรรม-ทวี' จุ้นคดีฮั้วเลือก สว. 24ธ.ค.นี้ พร้อมไม่อนุญาต 'สราวุธ' ถอนตัวจากการพิจารณาคดี

ตีตก 2 คำร้อง! ศาล รธน. ไม่วินิจฉัย MOA ตั้งรัฐบาลอนุทิน เหตุไม่มีหลักฐานชัดล้มล้างการปกครอง

ศาล รธน.ตีตกปม MOA "ณัฐพงษ์-อนุทิน" ให้ สส.ปชน-ภท. โหวตนายกฯ เหตุไม่มีหลักฐานชี้ชัดใช้สิทธิล้มล้างปกครอง เป็นการประกาศเจตจำนงร่วมทางการเมือง