'จตุพร' แฉมีคนอ้าง 'ไฟเขียว' จนทำให้คนตัวสูงโย่งเกิดความโลภอยากเป็นนายกฯ

8 ก.ค.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "คิดดีดี?" ระบุถึงเกมชิงไหวชิงพริบของกลุ่มอำนาจในการชิงโหวตนายกฯ 13 ก.ค.นี้ ว่า การเปลี่ยนตำแหน่งประธานสภาจากนายสุชาติ มาเป็นนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ อย่างฉับพลันในช่วง 2 คืนสุดท้ายก่อนประชุมสภาโหวตนั้น ซึ่งคาดว่า มาจากข้อเสนอแลกเปลี่ยนตำแหน่งกันใหม่ จึงทำให้ราบรื่น ง่ายดาย ไม่มีการต่อต้านจากนายสุชาติ

สิ่งสำคัญ ได้เปิดเผยเชิงสมมุติถึงการเจรจาจัดวางตำแหน่งทางการเมืองว่า ถ้าต้องการแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับบุคคลใด ต้องศึกษาความต้องการของคนนั้นๆ ด้วย เช่นสมมุติว่า คนเคยเป็นนรองประธานสภามาก่อน ก็เสนอตามความอยากให้เป็นประธานสภา และเมื่อผิดคำพูดแล้ว จึงเจรจากันใหม่ โดยพิจารณาว่า เขายังมีความอยากจะเป็นอะไรต่อ หากเคยเป็น รมช.มหาดไทย ก็จะเสนอให้เป็น รมว.มหาดไทย ดังนั้น การเสนอแลกเปลี่ยนตามความอยากจะราบรื่น และทำให้ฝันหวาน จึงไม่แตกต่างจากการหลอกต้มตามความอยากกันต่อไปอีก

"การต้มตามความอยากเช่นนี้ ทำให้เกิดความสวยงามในตำแหน่ง รมว.มหาดไทยยิ่งกว่ายึดมั่นประชาธิปไตยว่าเป็นสิ่งสวยงาม แต่อย่าเพิ่งเชื่อจนสุดใจ เพราะผมไม่อยากให้คำพูดผมไปสร้างความผิดหวังให้กับใคร ที่พูดผมเชื่อว่า "เขา" ไม่กล้าที่จะเปลี่ยน แต่ธรรมชาติของเขาเมื่อถึงจุดหักเห จิตใจจะไม่มั่นคงทุกครั้งคราว เหมือนกับการพูดกลับบ้านเก็บเวื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วยังเปลี่ยนใจรวม 20 ครั้ง"

นายจตุพร กล่าวว่า ตามแผนเดิมในการโหวตเลือกนายกฯ วันที่ 13 ก.ค.นี้ หากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ผ่านเกณฑ์มติรัฐสภา 376 เสียงแล้ว จะเปิดโอกาสให้ลงมติเลือกอีกครั้งเพื่อดันไปให้สุดทาง

“ดังนั้น เมื่อถึงปลายทางจุดสิ้นสงสัยแล้ว มีข่าวลือตามมาถึงการอ้าง “ไฟเขียว” ให้โหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย โดยมีพรรคก้าวไกลยังอยู่ร่วมรัฐบาลได้ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีการพิสูจน์ความเป็นจริงอย่างใด”

สิ่งสำคัญระบุว่า การเลือกนายกฯ วันที่ 13 ก.ค.จึงน่ากังวล โดยแผนเดิมของบางฝ่ายที่ตกลงกันไว้จะให้นายพิธา โหวตถึง 3 ครั้ง ตามที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่สองจากพรรคเพื่อไทย กล่าวอ้างไว้คือในวันที่ 13 และ 19 แล้วสิ้นสุด 20 ก.ค. เพื่อให้พิสูจน์เสียง 376 จนสิ้นสงสัย เมื่อไปไม่ได้ก็จะเลี้ยวแยกย้ายข้ามขั้วกันไป แต่การเมืองกลับถูกปั่น อ้างไฟเขียวมาชิงไหวชิงพริบสร้างความเชื่อจนป่วน ทำให้คนตัวสูงโย่งเกิดความโลภอยากเป็นนายกฯ เอง แต่แผนใหม่ก็ยังมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลอยู่

"เมื่ออ้างไฟเขียวมาต้มรอบแรก (เลือกประธานสภาได้นายวันนอร์) มีคนเชื่อง่ายดาย อาจย่ามใจแล้ว จึงอ้างไฟเขียวซ้ำอีกกับการเลือกนายกฯ เพื่อเปิดทางให้แคนดิเดตบางพรรคได้ขึ้นมาเป็นแทน เท่ากับหักดิบการย้ายขั้ว ดังนั้น ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ เขา (กลุ่มอำนาจเดิม) จึงชั่งน้ำหนัก 50 : 50 กันอยู่ว่า ถ้าสามารถปฏิบัติการงูเห่าเสาวภาได้เรียบร้อย เขาจะเล่นเกมฟัดกันในวันแรกเลย"

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีความมั่นใจจากงูเห่าเสาวภาแตก ทำให้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้เกินครึ่งคือมีจำนวน 251 เสียงขึ้นไป คงไม่ปล่อยให้เกิดความเสี่ยงไปถึงการโหวตนายกฯ วันที่ 19 หรือ 20 ก.ค. อีกได้ เนื่องสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ เพราะคู่เจรจามีอาการกะล่อนด้วยการอ้างไฟเขียว จนหวั่นไหวจะมีอันตรายทางการเมืองในตำแหน่งนายกฯ ที่เฝ้ารอคอยมานานแสนนาน

อีกทั้งย้ำว่า เสียงงูเห่าที่จะเลื้อยมาหนุนข้ามขั้วนั้น มีรายงานตัวเลขชัดเจนถึงคนที่มาแบบร้อยเปอร์เซ็นแล้วจำนวน 40 คน จะมาแบบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นเกิน 63 คน นอกจากนี้ยังมีระบุตัวเลขตามรายงานมาถ้าคิดแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นย่อมมีมากถึง 87 คน เมื่อรวมกับ 188 เสียงย่อมเกิน 251 เสียงซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของสภาจำนวน 500 เสียงแล้ว

"ถ้ามีงูเห่าบางจำพวกเกิดเบี้ยวไม่มา อีกทั้งมีการโหวตเปิดเผยเรียงตามตัวอักษรแบบปี 2562 ย่อมเข้าสถานการณ์ผีถึงป่าช้า คือ เมื่อคนจัดการแต่ละฝ่ายทั้ง ส.ว. งูเห่า และพรรคเสียงข้างน้อย ถ้าเบี้ยวกันขึ้นมาทำให้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรจากงูเห่ามาเพียง 40 คน รวมเสียงยังไม่ถึงครึ่งสถา 500 คน แต่เสียงโหวตนายกฯ (พล.อ.ประวิตร) กลับเกิน 376 แล้ว ส่อจะเกิดความวุ่นวายขึ้นตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.ทันที"

นายจตุพร กล่าวว่า ด้วยเหตุของไฟเขียวที่ถูกนำมาใช้นั้น ทำให้เกิดข่าวลือปล่อยตามทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ จะลงแข่งชิงนายกฯ แต่ถูกปฏิเสธทันคว้น นอกจากนี้ข่าวลือยังจะนำไปสู่การปฏิบัติการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในกรณีส่งข้อกล่าวหานายพิธา สู่ศาล รธน. โดยไม่จำเป็นต้องรอ 15 วันตามการอ้างขยายเวลาไต่สวนให้เพิ่มอีกก็ได้

“สถานการณ์ทางการเมืองจากนี้ไปถึงโหวตเลือกนายกฯ วันที่ 13 ก.ค. จึงน่ากังวล การตัดสินใจปฏิบัติการฉับพลันย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะ โดยกลุ่มอำนาจเก่าประเมินทางการเมืองแบบนาทีต่อนาที เนื่องจากเกิดชิงไหวชิงพริบกันถี่กระชั้นขึ้น เพราะไม่ไว้วางใจกับผลเจรจาที่ผ่านมา ซึ่งจะพลาดอีกไม่ได้ จึงหาทางป้งกันไม่ให้ถูกเบี้ยวซ้ำแบบเลือกประธานสภา”

นายจตุพร ประเมินว่า สถานการณ์ ณ 7 ก.ค.นี้ หากตัวเลขจำนวนงูเห่าเสาวภา ซึ่งอ้างกันว่า มีถึง 87 คนแล้ว คงต้องฟังหูไว้หู เพราะเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาในสถานการณ์การเลือกตั้งที่ผ่านมา มีคนจากพรรคหนึ่งไปช่วยผู้สมัครอีกพรรคหนึ่งแล้ว ย่อมมีความเป็นไปได้อยู่สูงกับงูเห่าเสาวภาฝากเลี้ยงไว้ ดังนั้น จึงต้องติดตามวันที่ 13 ก.ค.อย่างใกล้ชิด ถึงที่สุด อาจพลิกเป็นอีกแบบหนึ่งก็ได้ เนื่องจากการเมืองชิงไหวชิงพริบกันสูงยิ่งในช่วงนี้

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 9)

รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490

'ธนกร' เชื่อครม.ใหม่เดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนทันที ปัญหาประเทศรอไม่ได้

นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่มีการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนเชื่อว่า รัฐมนตรีทุกคนมีศักยภาพและประสบการณ์ในการทำงาน

'อุ๊งอิ๊ง' ดูไว้! นักการเมืองต้องรักษาสัจจะเหมือน 'อภิสิทธิ์' เคยหาเสียงไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์

เมื่อน.ส.แพทองธาร ชินวัตร กล่าวในงานอีเวนต์ ”10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10“ ว่า พรรคเพื่อไทยตัดสินใจถูกตั้งรัฐบาลผสม

'จักรพงษ์' ปัดเลื่อนชั้นขึ้นนั่ง รมต. จากสายตรงเศรษฐา ยันไร้ปัญหากับปานปรีย์

นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนเข้าถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวถึงกรณีที่ถูกมองว่าเป็นการพาร์ทชั้นจากเดิมที่อยู่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ไม่ได้พาร์ทชั้นหรอก

'สุชาติ' ลั่นทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ซีเรียสเป็น รมช.พาณิชย์

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ ถึงการได้กลับเข้าทำเนียบรัฐบาลในรอบ 7 เดือน ว่า ได้กลับเข้ามาทำงานให้ประเทศชาติบ้านเมืองเหมือนเดิม

ทำเนียบคึกคัก! รัฐมนตรีใหม่ถ่ายภาพทำบัตร ก่อนเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ฯ

รัฐมนตรีใหม่ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ได้เดินทางเข้าทำเนียบฯเพื่อถ่ายภาพทำประวัติ และทำบัตรประจำตัวรัฐมนตรี ที่ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคั