ประชาธิปัตย์จัดให้! อ่านคำต่อคำ 'เอ้ สุชัชวีร์' โตเกียวทำได้ ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่พลเมือง กรุงเทพฯก็ต้องทำได้เช่นกัน

ทุกท่านครับ วันนี้ วินาทีนี้ ผม เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผมเตรียมมา 30 ปี ขอโอกาสพี่น้องประชาชน เรามาร่วมกัน มาเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ร่วมกัน เพื่อมาสร้างอนาคตแก่ลูกหลาน มานำรอยยิ้มคืนแก่คนกรุงเทพ

14 ธ.ค.2564- คำต่อคำ “เอ้ สุชัชวีร์” ในการเปิดตัวเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ณ สามย่าน มิตรทาวน์ 13 ธันวาคม 2564

มันอาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ผมเองจากเด็กบ้านนอก คุณพ่อคุณแม่ผมเป็นครูอาชีวะ คุณปู่ผมเป็นชาวนา คุณตาผมมาจากเมืองจีน ที่ผมมีโอกาสได้เดินทางมาไกลจนถึงวันนี้ ที่จริงแล้วผมเองเป็นตัวแทนของครอบครัวไทยคนธรรมดาคนนึง ที่ไม่ว่าถ้าจะมาจากที่ไหน มีพื้นฐานอย่างไร คุณพ่อคุณแม่ท่านจะเป็นใคร แต่ถ้าเกิดท่านยังมีความหวังมีความเชื่ออะไรก็เป็นไปได้!

เพราะฉะนั้นแล้ววันนี้ ผมขอเริ่มต้นด้วยเรื่องความหวัง เพราะมนุษย์เราเกิดมา ถ้าเราไม่มีความหวัง เราก็ไม่รู้หรอกว่าเราจะอยู่ไปเพื่ออะไรจริงมั้ยครับ แต่ในความเป็นจริง หลายๆ ท่าน คนไทย คนกรุงเทพฯ ความหวัง ความเชื่อ ถูกท้าทายมาทั้งชีวิตด้วยความไม่เชื่อ เพราะความไม่เชื่อที่มาจากคนอื่น คนรอบข้าง หรือสังคม ที่มาใส่ให้กับตัวเรา ไม่น่าเชื่อนะครับ อาจจะทำให้ตัวเราคิดไปเลยว่า ยังไงเราก็ทำไม่ได้

ผมเข้าใจครับ เพราะคนไทย คนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิดมา เราก็เห็นว่าฝนตก น้ำก็ยังต้องท่วมรอระบาย คนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิดมารถมันก็ติด ยังไงมันก็ติด คนกรุงเทพฯ วันนี้คิดว่าฝุ่นพิษ PM 2.5 เกิดขึ้นเฉพาะฤดูหนาว หรือคนกรุงเทพฯ ยังคิดว่าเศรษฐกิจของเมืองเราก็ทำได้แค่นี้ มันก็ล้าหลังแบบนี้ แล้วคนกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้สนใจว่าจริงๆ แล้วการศึกษาของลูกหลานเราในอนาคตวันนี้มันพังพินาจไปแล้ว

ถ้าเกิดถามทุกท่านนะครับ ท่านอาจจะไม่เชื่อด้วยซ้ำว่า จะมีใครมาแก้ปัญหาที่ซ้ำซ้อน ซ้ำซากของกรุงเทพฯ แบบนี้ได้ เพราะอะไรรู้มั้ยครับ เพราะว่าครอบครัวคนกรุงเทพฯ ถูกข่มขืน ถูกรังแก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวันๆ จนคุ้นชินไปแล้วว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนกรุงเทพฯ เราไม่สามารถเปลี่ยนอนาคตของลูกหลานคนกรุงเทพฯ ได้

แต่ท่านที่เคารพครับ ผมเชื่อครับ ผมเชื่อว่า เราเปลี่ยนอนาคตของลูกหลาน เปลี่ยนกรุงเทพฯ #เราทำได้ !

เพราะอะไรรู้มั้ยครับ เพราะครูอาชีวะ คุณพ่อคุณแม่ของผมซึ่งวันนี้มาให้กำลังใจผมหน้าเวทีด้วยครับ ปรบมือต้อนรับคุณพ่อคุณแม่ผมด้วยครับ ทุกท่านครับ ครูอาชีวะ 2 ท่าน ยังมีความหวัง ยังมีความเชื่อมาตลอดทั้งชีวิต แต่คุณพ่อคุณแม่ผมต้องต่อสู้กับความไม่เชื่อมาทั้งชีวิตเช่นกัน คุณแม่เคยเล่าให้ผมฟังครับ ตั้งแต่คุณแม่ตั้งท้อง มีเพื่อนมาถามว่า อยากให้ลูกไปเรียนที่ไหน คุณพ่อคุณแม่ผมตอบครับ อยากจะส่งลูกไปเรียนอเมริกา เพื่อนตกใจครับ ไม่เชื่อว่าครูอาชีวะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ผมเชื่อครับ ปลูกฝังให้ผมตั้งใจเรียน มุมานะอดทน และที่สำคัญสอนให้ผมเชื่อว่า #เราทำได้!

ผมไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังครับ ตั้งใจเรียนหนังสือ สอบได้ที่ 1 ของโรงเรียนประจำจังหวัด เหมือนเป็นที่ 1 ของจังหวัดละครับ จังหวัดระยอง ตอน ม.3 ความหวัง ความเชื่อของผู้ปกครองต่างจังหวัดที่มีลูกเรียนหนังสือดี คือต้องส่งลูกมาเรียน ม.ปลาย ที่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงเทพฯ โรงเรียนเตรียม

ผมก็มาสอบพร้อมกับเพื่อนอีก 7 คน ผมเป็นที่ 1 ของจังหวัด มาสอบแล้ว พ่อก็ถามว่า “เอ้ ทำได้มั้ย” ผมบอก “สบายๆ ครับพ่อ” คุณพ่อผมนี้อินกับการศึกษามากครับทุกท่าน ท่านทราบมาว่า โรงเรียนเตรียมนี้เขาจะแปะบอร์ดตอนประมาณเที่ยงคืน เพื่อที่จะเปิดประตูให้กับผู้ปกครองที่มาจากทุกสารทิศเข้ามาดูตอนเช้า ท่านรู้มั้ยครับว่า พ่อผม หลังจากสอนหนังสือเสร็จตอนบ่าย นั่งรถ บขส. จากระยองมาถึงเอกมัย และต่อรถเมล์ มาเกาะรั้วโรงเรียนเตรียมตอนค่ำครับ

ตอนเที่ยงคืนเขามาแปะบอร์ดจริงๆ ครับ อยู่ในสนามกีฬา คุณพ่อซึ่งตีซี้กับ รปภ. หน้าโรงเรียนไปแล้ว บอกว่า “พี่ รปภ.ครับ อยากให้ พี่ รปภ. ไปดูผลสอบให้ลูกผมหน่อย” เอากระดาษเล็กๆ ที่เขียน นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ พี่ รปภ. ใจดีครับ แล้วก็รู้ว่า ครูมาจากต่างจังหวัดไปดูให้ หายเข้าไปในสนามกีฬา ส่องไฟ ส่องไฟสักพักนึง ชูมือขึ้นมาเลยครับ ห้านิ้ว พ่อเห็นไกลๆ คิดไว้แล้วว่า “เอ้ มันต้องสอบได้ที่ 5 ของประเทศไทยแน่นอนเลยครับ” แต่จากนั้น เลข 5 เริ่มส่าย พ่อตกใจ พี่ รปภ. มาบอกว่า “ครูครับ ไม่เห็นชื่อของน้อง” พ่อบอกเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะลูกผมเรียนหนังสือดี ขอให้พี่ รปภ. ไปดูอีกครั้งนึง พี่ รปภ. ก็ไปดู คราวนี้ส่องไฟดูใหญ่เลย พ่อเล่าให้ฟัง แล้วเดินกลับเข้ามาแล้วบอกว่า “ครูครับ ไม่มีชื่อน้อง น้องเขาสอบไม่ติด ผมเสียใจด้วยครับ” คุณพ่อผมเสียใจมากครับ นั่งรถ บขส. เที่ยวสุดท้าย กลับถึงระยองตอนรุ่งสาง มาร้องไห้กับแม่ 2 คน ร้องไห้ฮือเลย ผมอยู่ห้องข้างๆ ผมก็ร้องไปด้วยนะครับ เพราะผมทำให้ความหวังของคุณพ่อคุณแม่สะดุด …

คุณลุงซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียม พี่ชายคุณแม่เห็นคุณแม่เสียใจมาก ตั้งความหวังไว้สูงมาก ว่าถ้าเกิดลูกเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุด และได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด และมีชีวิตที่ดีที่สุดในอนาคต เหมือนคุณพ่อคุณแม่ทุกคนใช่มั้ยครับ พี่ชายคุณแม่ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียม บอกแม่ว่า “เอางี้มั้ย เดี๋ยวจะให้เข้าด้วยวิธีพิเศษ” เป็นที่ยอมรับกันครับว่า วันนั้นห้องพิเศษนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่คุณแม่ใจเด็ด ตอบคุณลุงว่า “ถ้าให้ลูกเริ่มต้นด้วยวิธีพิเศษ ทั้งชีวิตจะต้องใช้วิธีพิเศษอยู่ร่ำไป”

คุณแม่ พาผมกลับบ้าน มาเรียน ม.4 ม.5 ม.6 ที่ระยองวิทยาคม แต่จุดพีคอยู่ตรงนี้ครับ! เพื่อนผมอีก 7 คนที่ไปสอบด้วยกัน สอบติดหมดทุกคนเลยครับ แล้วท่านรู้มั้ยครับว่า พ่อแม่ผู้ปกครองต่างจังหวัดเขาอวดลูกแค่ไหน หลายๆ ท่านมาจากต่างจังหวัดทราบดีครับ คุณพ่อคุณแม่ผมไปทานข้าวที่ไหน ต้องก้มหน้าทานข้าวนะครับ อายครับ แล้วผมสารภาพนะครับ ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง จนผมอายุ 30 ครับ อายมากครับ …

แต่วิกฤติก็เป็นโอกาส ผมกลับมาเรียน ม.4 ม.5 ม.6 เรียนไป เตะฟุตบอลไป สอบได้ที่ 1 เหมือนเดิมเลยครับ เพราะคู่แข่งของผมทั้งหมดอยู่โรงเรียนเตรียมหมดแล้วครับ

และแล้วด้วยความเชื่อของคุณแม่ว่า “ลูก กลับบ้านเถอะ เราจะไม่ใช้วิธีพิเศษ” โอกาสเปิดอีกครั้งนึง ผมสอบได้ที่ 1 ของจังหวัดอีกครั้งนึง และครั้งนี้ได้ทุนโควต้าช้างเผือกโดยไม่ต้องสอบเอ็นทรานซ์ มาเรียนที่วิศวะ ลาดกระบัง มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพ #เราทำได้ ครับแม่ครับ …

แต่พอมาเรียนปี 1 ที่วิศวะ ลาดกระบัง เด็กบ้านนอกนะครับ ไว้ผมยาว สนุกทุกอย่างเลยครับ ผมทำทุกอย่างเลยครับ เป็นประธานนักศึกษา ทำงานสโมสร ชมรม ชุมนุม เป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย ทำทุกอย่างเลยครับ ยกเว้นเรียนหนังสือ! เกรดเฉลี่ยออกมา D dog, B+, D dog, C, D dog ถ้าเกรดตัวสุดท้าย ซึ่งเป็นตัวที่คณะบดีสมัยนั้นต้องการให้พวกเราได้เรียนรู้กับโลกภายนอก เอาวิทยากรที่มีชื่อเสียงมาบรรยาย ผมก็อยากประสบความสำเร็จเหมือนวิทยากรบนเวที เท่าที่จำได้นะครับ วิชานั้น ผมได้ A อยู่คนเดียว ทำให้ผมได้เกรดเฉลี่ย 2.01 เป๊ะเลยครับ! รอดจากการถูกรีไทร์แบบฉิวเฉียด …

ถ้าเกิดไปดูทรานสคริปต์ผมหน้าแรก ไปสมัครงานที่ไหนคงไม่มีใครรับหรอกครับ แต่ผมก็ยังมีความหวัง ความเชื่อนะครับว่า ความหวังมันสะดุดได้ในชีวิตคน แต่ตราบที่เรายังมีความเชื่อ มีความมุ่งมั่น อะไรก็เปลี่ยนได้

ผมนั่งรถเมล์ไปเรียนที่วิศวะ ลาดกระบัง ไปกลับ 4-5 ชั่วโมง บางทีจะไปต่อรถไฟ รถไฟมาเร็วมาช้าไป นั่งรถเมล์ไป โอ้โห มันทุกข์ทรมานแสนสาหัสครับ! ตอนนั้นผมอายุเพียงแค่ 20 เท่านั้นเอง 30 ปีที่แล้ว ณ วันนั้นที่ผมทรมานกับการที่ผมต้องนั่งรถติด ไป – กลับ 4-5 ชั่วโมง ผมคิดว่า ผมอยากจะแก้ปัญหาการจราจรของกรุงเทพให้ได้

และแล้วโอกาสก็เปิดอีกครั้ง สายพระจอมเกล้าฯ นี้ นอกจากที่จะสอนให้พวกเราเรียนรู้เรื่องทฤษฎีแล้ว เขาต้องการให้เราเก่งปฏิบัติด้วย เด็กที่เรียนโยธาอย่างผมส่วนใหญ่เขาก็เอาให้มาผสมลูกปูนกับขี้เถ้า แล้วลองทดสอบกำลังดูว่ากำลังได้แค่ไหนพอ พอเป็น เด็กเรียนคอมพิวเตอร์ เขียนโปรแกรมอย่างง่าย พอ พอเป็น พวกเรียนวิศวกรรม โทรคมนาคม ทำเสาสัญญาณสื่อสารให้พอเป็น

แต่ผมใช้โอกาสนี้ในการริเริ่มจะทำโครงการวิธีการออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน สายแรกของประเทศไทย! ซึ่งวันนั้นไม่มีคนเชื่อด้วยซ้ำ ว่ารถไฟฟ้าใต้ดิน จะสามารถก่อสร้างในกรุงเทพฯ ได้ เพราะเขาเชื่อว่ากรุงเทพฯ เป็นดินอ่อน สร้างไม่ได้ครับ แล้วที่สำคัญ ไม่มีใครจบมาทางด้านวิศวกรรมอุโมงค์ในดินอ่อนแบบกรุงเทพฯ มาก่อนเลย

แล้วทำยังไงล่ะครับ … มีความมุ่งมั่นอยากไปแก้ปัญหา จะทำให้ได้ ผมต้องนั่ง ไม่ได้นั่งสิ ผมต้องไปรอโหนรถเมล์จากสถานีที่หัวตะเข้ คนแน่นมาก รถเมล์ก็เก๊าเก่า 1013 นี่ ต้องโหนรถเมล์ ผ่านถนนอ่อนนุช ซึ่งวันนั้นเขาเรียกว่า “ถนนเจ็ดชั่วโคตร” ทำเท่าไหร่ กี่ปีไม่เสร็จซักทีนึง กว่าจะมาถึงปากทางอ่อนนุช โอ้โห! ฝุ่นเขม่าทั้งตัว ทั้งตัวครับ

ต้องต่อจากอ่อนนุช ไปต่ออนุสาวรีย์ชัย อนุสาวรีย์ชัยไปเซ็นทรัล ลาดพร้าว จากเซ็นทรัล ลาดพร้าว ต่อรถเมล์ไปที่รังสิต เพื่อที่จะไปที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย หรือ AIT ซึ่งวันนั้นมีตำราทางด้านวิศวกรรมมากที่สุดในประเทศไทย กว่าจะไปถึงก็บ่ายครับ ไปอ่านหนังสือ ซีร็อกส์ ยืมหนังสือกลับมาที่ลาดกระบัง กว่าจะถึงก็ค่ำ ผมต้องทำอย่างนี้ทุกสัปดาห์ๆ แต่แล้วในที่สุดผมก็สามารถเขียนโปรแกรมวิธีการออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน สายแรกของกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ #เราทำได้!

แต่ผมไม่ได้ทำเล่นๆ นะครับ และโปรเจคนี้เป็นเกรดตัวสุดท้ายเลย ซึ่งอาจารย์ผมเขาสงสัยนะครับ เด็กอายุ 20 จะจบปี 4 ทำโปรเจคระดับนี้เลยเหรอ เขาให้ A ผมครับ ทำให้ผมได้เกรดเฉลี่ย 3.01 เป็นเกียรตินิยมคนสุดท้ายของมหาวิทยาลัยเลยครับ ดูชีวิตผมสิครับ!

นี่แหละครับ ชีวิต Underdog ชีวิตที่ฉิวเฉียดมาตลอด แต่ท่านรู้มั้ยครับ ผมไม่ได้ทำโปรเจคนี้เล่นๆ ผมต้องการให้เกิดขึ้นจริง ให้แก้ปัญหาการจราจรกรุงเทพฯ ได้จริง ผมนั่งรถเมล์จากลาดกระบังไปเสาชิงช้าครับ ไปทำไมครับ! ไปขอพบผู้ว่าฯ กทม. ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานครครับ

แล้วเป็นไปครับ ไปเจอเลขาหน้าห้อง ถามว่า “น้อง น้องมาทำอะไร” “คือผมทำโปรเจคจบปี 3 ปี 4 เรื่องวิธีการออกแบบรถไฟฟ้าใต้ดินครับ จะขอมานำเสนอท่านผู้ว่าฯ กทม. เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัด” เลขาหน้าห้องก็งงครับ เขาบอก “น้องครับ ท่านผู้ว่าฯ มีภารกิจเยอะมาก คงพบน้องไม่ได้” “ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งรอ” ผมจำได้นะครับ ผมต้องลงไปนั่งรอม้านั่งที่ทำจากไม้เก่าๆ แถวๆ หน้าห้องปลัด กทม. นั่งรอไปถึงตอนเย็น ไม่ได้พบผู้ว่าฯ ครับ ไม่เป็นไร … พรุ่งนี้ผมมาอีกรอบนึง มาเจอพี่เขา พี่ก็บอก “น้องครับ พี่ให้น้องพบผู้ว่าฯ กทม. ไม่ได้จริงครับ แต่เอาอย่างนี้ เดี๋ยวพี่จะเอาผลงานของน้องไปมอบถึงมือผู้ว่าฯ กทม. เลย พี่สัญญา” เป็นท่าน ท่านมอบไปให้มั้ย ไม่ใช่มั้ยครับ

ไม่ครับ! เพราะผมมีความหวัง และผมมีความเชื่อว่า ผมจะได้พบผู้ว่าฯ กทม. ครับ วันที่ 3 ผมมาใหม่ คราวนี้ผมแวะร้าน มนต์นมสด ข้างศาลาว่าการ ซื้อขนมปังสังขยามาฝากพี่เขาครับ นี่เรื่องจริงนะครับ ผมก็เอามาฝาก เขายิ้มๆ หัวเราะ “น้องครับ ยังไงก็ฝากพี่ไว้เถอะ ไม่ได้พบ” “ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งรอ” ระหว่างนั่งรอไป ผมไม่มีความทุกข์อะไรครับ เพราะผมมีความหวัง และความเชื่อ ผมก็อ่านเตรียมตัวสอบ TOEFL ผมทำอย่างนั้น 2 สัปดาห์ 2 สัปดาห์ …

ปลายสัปดาห์ที่ 2 พี่เขาออกมา ก็ออกมาพูดว่า “เอ้ๆๆ” รอจนรู้จักชื่อเล่นนะครับ “เอ้ๆ พี่ไม่เคยเห็นเด็กอย่างเอ้ เลย คืออึดทนมากเลย เอาอย่างนี้เดี๋ยวพี่จะให้ เอ้ พบผู้ว่าฯ กทม. ก็ได้” “จริงเหรอครับ!” “แต่ เอ้ ต้องไปพาคณะบดีมาด้วย ไม่งั้นพี่จะถูกดุเอา ให้เด็กพบผู้ว่าฯ กทม.” ผมดีใจมากครับ ผมโหนรถเมล์กลับไปที่วิศวะ ลาดกระบังเลย นี่ชีวิตของผมนะครับ ตอนเรียน ใช้รถเมล์ตลอดนะครับ ถ้าได้โอกาสผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. เมื่อไหร่ รถเมล์มันต้องดีขึ้นแน่นอนครับ! ทรมาน

ทีนี้พอไปพบท่านคณบดี พบไม่ยากครับ เพราะว่าหน้าห้องเขารู้จักผม เป็นประธานนักศึกษา เป็นเด็กกิจกรรม พอเข้าไปห้องคณบดี ไม่เห็นหน้าคณบดีครับ เพราะแฟ้มนี่ท่วมโต๊ะเลย วันนี้ก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ ระบบราชการ คณบดีอยู่หลังแฟ้ม กำลังเซ็นอยู่ครับ ไม่เงยหน้ามาคุยกับผม ไม่เห็นท่านด้วย “สุชัชวีร์! คุณเห็นมั้ย งานผมเต็มโต๊ะไปหมดเลย คุณมีอะไร” ผมตอบไปว่า “ท่านคณบดีครับ ผมจะพาท่านคณบดี ไปพบผู้ว่าฯ กทม.ครับ” ท่านวางปากกาทันที แล้วค่อยๆ แหวกแฟ้มออกมาดูหน้าผมครับ

“ไหนคุณว่ายังไงนะ!” “ผมทำโปรเจ็คจบปี 3 ปี 4 เรื่องวิธีการออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรก จะขอให้ท่านคณบดีไปมอบให้ท่านผู้ว่าฯ กทม. แก้ปัญหาการจราจรติดขัดครับ”

ทุกท่านครับ ท่านคณบดีวิศวะ ลาดกระบัง ยอมไปกับผม ไปพบผู้ว่าฯ กทม. ครับ ซึ่งวันนี้คณบดีท่านนั้นมาให้กำลังใจผมหน้าเวทีครับ ท่านอาจารย์ ประกิจ ตังติสานนท์ ครับ! ขอบคุณอาจารย์มากนะครับ ไม่มีอาจารย์ ไม่มีวันนี้นะครับ

และแล้วท่านคณบดีกับผมก็ไปพบผู้ว่าฯ กทม. ที่ผมยังจำได้ ห้องผู้ว่าฯ กทม. ห้องรับรองนี้ใหญ่มาก ผู้สื่อข่าวเต็มไปหมดแบบนี้เลยครับ ผมคิดในใจ สงสัยมาทำข่าวผมแน่เลย คิดบวกไว้ก่อนใช่มั้ยครับ ไม่ใช่ครับ เป็นผู้สื่อข่าวสาย กทม. เขามีงานอยู่เต็มไปหมดแล้ว ผมเป็นคิวแทรก พี่เลขาใจดีมากอยากให้มันเสร็จๆ ไปนะครับ และแล้วผม และท่านคณบดีได้พบท่านผู้ว่า กทม. ท่านอาจารย์กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา เกิดภาพประวัติศาสตร์ภาพนี้ …

ตอนผมอายุ 20 ผมหน้าดีมั้ย 30 ปีมาแล้ว นั่นคือสูทตัวแรกของผมในชีวิตครับ ไปแวะร้านทรงสมัย กระต่ายบิน เลือกตัวที่ถูกที่สุด เงินหมดเจ้าของร้านแถมเนคไทเชยๆ มาเส้นนึง เป็นพระคุณอย่างยิ่งนะครับ เสียดายผมบริจาคสูทกับเนคไทนี้ไปแล้ว ท่านคณบดี ท่านอาจารย์ประกิจ ตอนหลังท่านมาเป็นอธิการบดีพระจอมเกล้าลาดกระบัง ท่านจับมือผู้ว่าฯ แล้วมอบผลงานเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้ท่าน ท่านคณบดีบอกว่าผลงานจบปี 3 ปี 4 ของนักศึกษาการออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกจะมอบให้ท่านผู้ว่าฯ กทม. ไปแก้ปัญหาจราจร ท่านผู้ว่าฯ บอกว่า “ขอบคุณครับ กำลังคิดอยู่เลยว่า จะลอยฟ้า หรือใต้ดินดี” ยังจำได้ใช่มั้ยครับวันนั้น “เดี๋ยวผมจะไปมอบให้กับรองผู้ว่าฯ ฝ่ายโยธา” ตัดบทครับ! ท่านมีเวลาน้อย ท่านคณบดีหันมามองผม เหมือนจะบอกว่า เอ้ๆ ผมทำงานให้คุณเสร็จแล้วนะ!

แต่วินาทีนั้น เป็นวินาทีเปลี่ยนชีวิตผมครับ ผมพูดขึ้นมาทันทีครับ ท่านผู้ว่าฯ ครับ ท่านหันมามองเห็นผม “ประเทศไทย กรุงเทพฯ จำเป็นต้องมีรถไฟฟ้าใต้ดิน ระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ แก้ปัญหาการจราจร” ท่านบอก “ใช่ๆๆๆๆ” ท่านผู้ว่าครับ แต่ประเทศไทย ยังไม่มีใครจบมาทางด้านวิศวกรรมอุโมงค์โดยเฉพาะอุโมงค์ในดินอ่อนแบบกรุงเทพฯ เลย ท่านบอกว่าในต่างประเทศเขาทำกันมาเป็นร้อยปีแล้ว บอก “ใช่ครับ ท่านผู้ว่าฯ ผมจึงขออาสาท่านผู้ว่าฯ จะเป็นคนไทยคนแรกที่จะไปเรียนเรื่องวิศวกรรมอุโมงค์ เพื่อมาออกแบบแบะก่อสร้างอุโมงค์ในดินอ่อนแบบกรุงเทพฯ ครับ” ท่านผู้ว่าฯ ได้ยิน เดาได้มั้ยครับ ท่านถามคำถามต่อว่าอะไร ท่านถามต่อทันทีเลยว่า “จะไปเรียนที่ไหนล่ะ” เสร็จผมครับ! ผมวางแผนมาครับ!

ผมวางแผนมาครับ ตอบทันที “ไปเรียนที่เดียวกับท่านผู้ว่าฯ ครับ MIT” ท่านผู้ว่าฯ เรียนเก่งมากครับ ไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก เขาไปเรียนวิศวะสถาปัตย์ แล้วท่านรัก MIT ที่สุด ท่านไปร่วมงานศิษย์เก่าถึง 50 ปี ได้สวมชุดสีแดงที่เรียกว่า The Red Cardinal ถ้าเกิดท่านอยากเห็นสูทสีแดงตัวนั้น ไปดูหนังรางวัลออสการ์ ของ Matt Damon Ben Affleck ได้เลยเรื่อง Good will Hunting ที่โปรเฟซเซอร์คณิตศาสตร์ใส่นะครับ ท่านอาจารย์กฤษฎา มีเสื้อตัวนั้น และท่านก็มีแหวนวงนี้ ที่ผมใส่อยู่ เป็นแหวนวงเดียว ที่ Tony Stark Iron Man ยังต้องใส่เลยนะ

พอพูดถึงมหาวิทยาลัยที่ท่านรักและผูกพันมาก ไม่สนใจเวลาแล้วครับทุกท่าน บอก โอ้โห! กว่าจะเข้าได้นี่ ยากมาก เข้าได้ไม่กี่คน แต่รู้มั้ย ตอนปี 2 เพื่อนผมหลายคน ไม่เกินอาหารบนโต๊ะ ไปคุ้ยขยะ เป็นบ้าไปหลายคนครับ แล้วท่านก็หัวเราะท่านอารมณ์ดี ผู้สื่อข่าวก็ฟังตาปริบๆ สนุก เพราะท่านเล่าเรื่องสนุก พอมีจังหวะ ผมพูดขึ้นมาทันที

“ท่านผู้ว่าครับ แต่ผมจะมีโอกาสไปเรียน MIT เหมือนท่านผู้ว่าฯ ได้ผมจะต้องได้จดหมายรับรอง Recommendation จากท่านผู้ว่าฯ ครับ” พวกท่านรู้มั้ยครับ ท่านผู้ว่าฯ กฤษฎา ไม่เคยรู้จักผม ไม่เคยสอนผมมาก่อน เขียนจดหมายรับรองผมในฐานะท่านผู้ว่าฯ กทม. และศิษย์เก่า MIT ครับ ผมคิดถึงท่านผู้ว่าฯ กฤษฎา ถึงวันนี้ ท่านรู้มั้ยครับ ถ้าเกิดพี่น้องประชาชนให้โอกาสผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ผมจะเป็นผู้ว่าฯ ที่เป็นครูเหมือนท่านอาจารย์กฤษฎา จะสนับสนุนส่งเสริมเด็กไทยทุกคนที่มีความหวัง มีความเชื่อ ว่าเราทำได้!

MIT รับผมครับ ไม่สนใจเกรดเฉลี่ยที่มีแต่ D dog D dog C C ไม่สนใจภาษาอังกฤษของผม ที่สอบเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านซักที ท่านรู้มั้ยครับ ผมสอบ TOEFL 14 ครั้ง ดูชีวิตผมสิครับ ผมต้องไปแลกเช็คที่ใต้ถุนอาคารมณียา หลายคนจำได้ใช่มั้ย เพื่อจะไปสมัครสอบชั้นบน ศูนย์ TOEFL ผมแลกเช็คจนพนักงานบอกว่า “เอ้ๆๆๆ” รู้จักชื่อเล่นอีกแล้วครับ แลกบ่อย “เอ้ๆๆ คนที่แลกเช็คพร้อมเอ้ เขาไปกันหมดแล้ว” ขอบคุณมากเลยนะครับ เหมือนจะบอกว่า เอ้ สอบยังไงก็ไม่ผ่านซักที เพราะฉะนั้น MIT รับผมตั้งแต่ TOEFL 530 เท่านั้นนะครับ ที่จริงเขาตั้งไว้ 600

ผมเล่าเรื่องนี้ให้ท่านนายกฯ ชวน ได้ฟัง ผมถือว่าท่านเป็นครูคนนึงของผม ท่านถามผมว่า “อาจารย์เอ้ ตอนผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็เขียนจดหมายรับรองให้ลูกหลานคนไทยตั้งเยอะแยะ ไม่เห็นเขาจะรับเลย แสดงว่าเขารับอาจารย์เอ้ คงไม่ใช่สาเหตุนี้สาเหตุเดียว” ท่านพูดถูกครับ ท่านรู้มั้ยครับ ผมสงสัยมาตลอด แต่ตอนที่เขารับผม ผมไม่กล้าถามครับ กลัวเขารับคนผิดครับ!

จริงนะครับ! เพราะเกรดอย่างนี้ ภาษาอังกฤษอย่างนี้ มหาวิทยาลัยของผมเขาก็ไม่รู้จัก หรือแม้แต่ประเทศเรา เขาจำสับสนว่าเป็นไต้หวันก็มีใช่มั้ย ผมสงสัยครับ ในวันที่ผมสอบจบปริญญาเอก ผมเดินเข้าไปเคาะประตูห้องอาจารย์ผมครับ อาจารย์ผมคือ Prof. Herbert Einstein หลานแท้ๆ ของ Albert Einstein นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก เมื่อคืนเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์ว่า ขอบคุณอาจารย์สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง Herbert Einstein เป็นคนยิวครับ อายุเท่าคุณพ่อคุณแม่ผม เกิดวันที่ 31 มกรา ผมโทร Happy Birthday ทุกปี คนไทยชนะใจคนด้วยความกตัญญูกตเวทีครับ

คนยิว เขามีความมุ่งมั่น ขยันอดทนมีวินัย สมองไม่ได้มีมากกว่าคนไทย ถ้าเกิดคนไทย ขยัน มุ่งมั่น อดทน มีวินัยเหมือนคนยิว ชนะคนยิวครับ ผมพิสูจน์มาแล้ว เพราะผมนี้ถือว่าเป็นทายาทสายตรงไอสไตน์ คนเดียวในแผ่นดินไทยเลยครับ ภูมิใจมากครับอาจารย์ ท่านเป็นวิศวกรด้านอุโมงค์มือหนึ่งของโลก จบที่เดียวกับอัลเบิร์ต ไอสไตน์ นี่แหละครับ

“อาจารย์ครับ ทำไมอาจารย์ถึงรับผมครับ” จบปริญญาเอกแล้วครับ กล้าถามแล้ว … เงียบ จากนั้นหันหลังไปที่ชั้นหนังสือที่รกสุดๆ ครับ ไม่ได้พูดถึงโต๊ะ ไม่มีที่ทำงานเลยครับ รกสุดๆ จริงๆ ครับ ไอสไตน์ ไปหยิบแฟ้มเล็กๆ อาจารย์เก็บแฟ้มนักศึกษาปริญญาเอกไว้ทุกคนครับ แล้วก็ดึงแฟ้มออกมาเงียบๆ แล้วก็เปิดแฟ้ม แล้วชี้ให้ผมดู statement of purpose จดหมายแสดงคำมั่นสัญญา สำหรับทุกคนที่ต้องการจะเข้ามหาวิทยาลัยระดับโลก หรือทำงานบริษัทระดับโลก เขาต้องการให้ท่านเขียน แสดงเจตนารมณ์ว่าทำไมมหาวิทยาลัยระดับโลก บริษัทระดับโลกถึงต้องรับท่าน ให้เขียนกระดาษ A4 ไม่เกิน 300 คำ วันนั้นผมลืมไปแล้วครับ ไอสไตน์ชี้ให้ผมดู

ท่านรู้มั้ยว่าผมเขียนว่าอะไร ผมเขียนว่า ผมโหนรถเมล์ไปเรียนลาดกระบัง ไปกลับ 4 -5 ชั่วโมง ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถเมล์ กรุงเทพฯ ที่เคยชื่อว่า The Land of Smiles สยามเมืองยิ้ม แต่สิ่งที่ผมเห็น Smiles has gone ไม่มีรอยยิ้มหลงเหลืออีกต่อไป Because of traffic jam ภาษาอังกฤษของคนอ่อนภาษาอังกฤษอย่างผมนี่แหละครับ เพราะรถมันติด มลพิษ มีแต่คนอารมณ์เสีย ผมโหนไปอยู่ทุกวันก็มีความมุ่งมั่นว่าอยากจะแก้ปัญหาซ้ำซากนี้ให้ได้

มาเรียนวิศวะโยธา มาเป็นประธานนักศึกษา ได้ทำโปรเจคออกแบบรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกและไปมอบให้กับผู้ว่าฯ กทม. ส่งรูปให้เขาดูด้วย แล้วรูปรถติดด้วย เพราะฝรั่งไม่เข้าใจ ว่าทำไมประเทศเราถึงปล่อยให้รถติดมาถึงวันนี้ได้ ให้เห็นเลย ส่งไป 2 รูป หน้านึงมันสั้นผมต้องรีบจบให้ได้ ผมบอกว่าผมรู้นะว่า MIT มีศิษย์เก่าไปเหยียบดวงจันทร์เที่ยวแรก Bud Alvin ไปพร้อมกับ Neil Armstrong มีศิษย์เก่าเป็นผู้นำโลกมากมาย ที่ท่านรู้จักก็ท่านโคฟี แอนนัน (Kofi Annan) อดีตเลขายูเอ็น ที่ท่านเพิ่งล่วงลับไป มีอภิมหาเศรษฐีทั่วโลก มีนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รางวัล Nobel Prize มากที่สุดในโลก แต่ผม I am nobody แค่เห็นเกรดหน้าแรกก็อยากจะโยนทิ้งแล้วใช่มั้ย มีแต่ D dog ภาษาอังกฤษก็ไม่ผ่าน ผมมัน Nobody ครับ!

แต่! ผมมี Passion ผมมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะขอ MIT ไปเรียนรู้ เรื่องการออกแบบก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อมาก่อสร้าง แก้ปัญหาการจราจรติดขัดให้กรุงเทพฯ และอาจารย์ผม ไอสไตน์ ชี้ให้ผมดูประโยคสุดท้าย ผมขอว่า “ผมจะขอกลับมาเป็น The man who bring back The Land of Smile เป็นคนนำรอยยิ้มคืนแก่คนกรุงเทพครับ”

MIT ไม่สนเกรดเฉลี่ย ไม่สนภาษาอังกฤษ ไม่สนว่าผมจบจากมหาวิทยาลัยไหน รับผมเข้าเรียน ผมเชื่อว่าผมทำได้ และผมกลับมาตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับอาจาย์กฤษฎา อรุษวงษ์ ที่ให้ไว้กับ Herbert Einstein ที่ MIT กลับมาช่วยก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกสำเร็จให้พี่น้องประชาชนกรุงเทพฯ และมีชื่อจารึกไว้บนผนังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพงครับ

และผมก็กลับเมืองไทย นอกจากมาก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกแล้ว ผมได้ออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาครั้งแรกสำเร็จ! ที่ท่านนั่งนี้ ฝีมือการออกแบบของผมทั้งเส้นครับ ผมภูมิใจครับ ผมภูมิใจที่ผมพัฒนาตัวเองจนมาถึงขั้นสูงสุดของวิชาชีพวิศวกร เป็นวิศวกรระดับวุฒิ มาเป็นนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นนายกสภาวิศวกร เป็นวิศวกรดีเด่นอาเซียน เป็นผู้นำทีมวิศวกรอาสาลงพื้นที่ช่วยพี่น้องประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะน้ำท่วม แผ่นดินไหว ตึกถล่ม คานล้ม ป้ายพัง โรงงานระเบิด หรือแม้กระทั่งต่อสู้ฝุ่นพิษมานับครั้งไม่ถ้วน ผมภูมิใจครับ

และผมได้มาเป็นอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผมได้นำมหาวิทยาลัยของผม ฝ่าวิกฤติเงินหาย 1,600 ล้าน ก้าวขึ้นมาเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็วที่สุดมหาวิทยาลัยนึงในเอเซีย ผมได้สร้างมหาวิทยาลัยเป็นเมืองที่น่าอยู่ ต้องการที่จะให้เป็นเมืองต้นแบบ เป็นเมืองที่ทันสมัย ผมได้สร้างแก้มลิงแก้ปัญหาน้ำท่วมมหาวิทยาลัยได้เบ็ดเสร็จ ปกติมหาวิทยาลัยฝนตกนิดเดียวอยู่ต่ำกว่าคลองประเวศ เกือบ 2 เมตร ท่วมไม่มีชิ้นดี วันนี้คนละเรื่อง

ผมได้สร้างรถไฟฟ้าฝีมือคนไทย 100% สำเร็จ ผมได้สร้างเสาไฟโซล่าร์เซลส์ไฮเทคตรวจวัดฝุ่นบันทึกควบคุมการจราจรได้ ผมได้สร้างโรงเรียนสาธิตต้นแบบ อยากให้คนเห็นว่าทำโรงเรียนดีๆ #เราทำได้ ผมได้สร้างโรงเรียนโค้ดดิ้งระดับโลก ได้สร้างมหาวิทยาลัยระดับโลกให้คนไทยได้เรียนฟรี ผมสร้างคณะแพทย์ ผมสร้างคณะทันตแพทย์ ผมสร้างคณะศิลปศาสตร์ สร้างคณะดนตรี สร้างเครื่องมือแพทย์ช่วยพี่น้องคนไทยครบทุกจังหวัดมากกว่า 400 โรงพยาบาล แล้วที่ผมภูมิใจมากที่สุดผมได้สร้างโรงพยาบาลผู้นำทางด้านการรักษา และสร้างเครื่องมือแพทย์ครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย ให้คนไทยได้ทำ คนไทยได้ใช้ คนไทยได้รอด!

เรื่องของผม คงเหมือนกับชีวิตของท่านหลายๆ คน ที่ขนาดยังไม่เกิดมาคนก็ไม่เชื่อแล้วว่าจะมาถึงวันนี้ ใช่มั้ยครับแม่ … แต่อย่างน้อยที่สุด เรื่องชีวิตของผมอาจจะทำให้ท่านกลับมามีความหวัง กลับมามีความเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนอนาคต เปลี่ยนกรุงเทพ #เราทำได้ ครับ!

เวลาผ่านมา 30 ปีนับจากวันนั้น คนกรุงเทพฯ ก็ยังยิ้มไม่ออก เพราะว่าฝนตกน้ำก็ยังท่วมรอระบาย รถติดก็ยังติดสุดๆ ฝุ่นพิษที่มีทุกวัน เศรษฐกิจเมืองล้าหลัง การศึกษาพังพินาศ ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ใครจะไปยิ้มออกครับ ทุกท่านครับ วันนี้ฝนตกน้ำท่วมรอระบาย น้ำเหนือไหลผ่า น้ำทะเลหนุน ไม่รอคิวกันมาอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย วันนี้มาประสานพร้อมกัน นักวิจัยระดับโลกทุกสำนักในโลกพูดตรงกันครับว่า วันนี้ถ้าเกิดกรุงเทพฯ ยังไม่เปลี่ยน ยังไม่ถูกฉุดขึ้นมา กรุงเทพฯ จมน้ำแน่นอนในอีก 10-20 ปีครับ

ท่านเห็นน้ำท่วม 54 น้ำทะลักที่ซังฮี้ ท่านยังไม่เชื่ออีกเหรอครับ ผมอยากจะบอกทุกท่านนะครับว่า ปัญหาน้ำท่วมคือวิกฤติของกรุงเทพฯ แน่นอน และเป็นเรื่องที่ชี้ชะตากรุงเทพฯ ในอนาคต นั่นหมายความว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ ไม่ใช่เลือกผู้ว่าฯ กทม. แต่เป็นการเลือกอนาคตของกรุงเทพ อนาคตของประเทศไทย และอนาคตของลูกหลานไทย

ให้มันรู้กันไป ถ้าเกิดคนกรุงเทพให้โอกาสผู้ว่าฯ ที่เป็นวิศวกรระดับวุฒิ จบปริญญาเอก มีความเชี่ยวชาญทางด้านน้ำ ด้านดิน เคยเป็นนายกวิศวกรรมสถาน เป็นนายกสภาวิศวกร เป็นวิศวกรดีเด่นอาเซียน เป็นวิศวกรอาสาช่วยพี่น้องมาทั้งประเทศไทยแล้ว ให้มันรู้ไป จะเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้มันรอดจากน้ำท่วมไม่ได้ #เราทำได้ ครับ!

ปัญหารถติด ท่านคุ้นชินเหรอครับ เป็นเมืองนอกรถติดแบบนี้เขาไม่ปล่อยไว้หรอกครับ เพราะรถติดในกรุงเทพฯ ฆ่าอนาคตลูกหลานเราที่สุดครับ ท่านหวังจะให้ลูกหลายเรา เด็กเล็กๆ มีความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการ จะไปมีได้ยังไง ต้องปลุกลูกแต่ตี 4 ตี 5 ให้ลูกโตในรถ เด็กที่ไหนจะมีจินตนาการ มีแต่ความเครียด และเราทุกคน คนกรุงเทพฯ ต้องใช้เวลา 1 ใน 4 ของชีวิตบนรถ ท่านจะทนเหรอครับ ผมไม่ทนอีกต่อไป และผมเชื่อว่า เราเปลี่ยนได้!

ก็ดูกรุงโตเกียวสิครับ มีความหนาแน่นของประชาชนมากกว่ากรุงเทพฯ 3-4 เท่า กรุงโตเกียวมีพลเมือง 40 กว่าล้านคน มากกว่ากรุงเทพฯ 4 เท่า ผลิตรถเอง ราคาถูก รถเขาติดเท่ากรุงเทพฯ มั้ย ไหนบอกว่าแก้ไม่ได้ไง แสดงว่าบ้านเมืองที่เขาหนักกว่าเรา วิกฤติกว่าเราเขาทำได้มาแล้ว เราก็ต้องทำได้ หรือท่านไปลอนดอนวันนี้ มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน พอๆ กับกรุงเทพฯ วันนี้คนลอนดอนขี่จักรยานไปทำงานแล้วครับ ในเมื่อเขาทำได้ แล้วทำไมกรุงเทพฯ จะทำไม่ได้ล่ะครับ ถ้าเกิดพี่น้องประชาชน ให้โอกาสเลือกผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ท่านจะได้เห็นทางจักรยานลอยฟ้า ครั้งแรกของกรุงเทพฯ #เราทำได้

ให้มันรู้กันไปสิครับ ฝุ่นพิษเหรอครับ ท่านคิดเหรอครับว่าฝุ่นพิษมันมาเฉพาะฤดูหนาว มันมาอย่างนี้ครับ ขึ้นแล้วก็ลง มันอยู่กับเราทุกวัน ไม่เชื่อท่านไปวัดฝุ่นที่ป้ายรถเมล์สิครับ ผมไปวัดมาแล้ว เกินอยู่ 10 เท่า ไปวัดหน้าโรงเรียนที่ท่านส่งลูกหลานท่านเรียนหนังสือ เกินไป 40 เท่า ไปวัดหน้าโรงพยาบาลที่พ่อแม่ท่านต้องไปหาหมอเกินมา 40 เท่า ไปวัดที่ไซต์งานก่อสร้าง เกินทั้งสิ้น!

ฝุ่นพิษนี่ตายจริงนะครับ ท่านยังไม่เชื่ออีกเหรอครับ หมอทุกสำนักบอกนะครับ คนแก่ก็เป็นโรคหัวใจ เด็กเข้าไปถึงสมอง ไม่ฉลาดหรอกครับ แล้วฝุ่นพิษนี้มันเกิดขึ้นมาจากความไม่รับผิดชอบของคนไม่กี่คน!

ท่านดูกรุงปักกิ่งสิครับ ในอดีตมีฝุ่นพิษมากกว่ากรุงเทพฯ หลายเท่า จนทำให้เขาแพ้ในการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิค 2000 มาแล้ว แล้ววันนี้ท่านไปดูเขาสิครับ เขาจัดการฝุ่นพิษได้เบ็ดเสร็จ เขาเอาจริง นั่นหมายความว่า ถ้าท่านให้โอกาสผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ผมรู้ทั้งรู้อยู่ว่าฝุ่นพิษ PM2.5 เกิดมาจากรถบรรทุก รถขนส่งสาธารณะ และไซต์งานก่อสร้างที่ไม่รับผิดชอบ ให้มันรู้กัน ผมจะจัดการกับพวกนี้ให้ได้ และเปลี่ยนกรุงเทพฯ จากอากาศเป็นพิษ เป็นอากาศบริสุทธิ์ ส่งต่อให้ลูกหลานเรา #เราทำได้

ปัญหาเศรษฐกิจ ท่านรู้มั้ยครับว่า ผมเคยทำงานให้กับธนาคารโลกมาก่อน ท่านคงคิดว่าผมได้ปริญญาเอกวิศวะปริญญาเดียว ตอนผมเรียนอยู่ที่ MIT ผมไป take course MIT – Harvard ด้วย ผมสอบได้ที่ 1 นะครับ เขาแถมปริญญาให้ผมอีกใบนึง ผมเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง และได้ปริญญาทางด้านนโยบาย และเทคโนโลยี ถือเป็นเด็ก MIT ยุคนั้นที่ได้ปริญญาพร้อมกัน 2 ใบนะครับ

ผมสละเงินที่ให้มากกับผมเป็นร้อยเท่ากลับมารับใช้ประเทศไทย วันนั้นผมมีโอกาสทำงานให้กับธนาคารโลก เขาส่งผมกลับมาประเทศไทย มาทำเกี่ยวกับเรื่องฟื้นฟูเศรษฐกิจของเอเซีย ผมรู้ซึ้งเลย วันนี้ถ้าเกิดกรุงเทพฯ ยังไม่มีอะไรใหม่ ไม่ทันสมัย ไม่เป็น dynamic ใครจะมาลงทุนล่ะครับ หรือใครจะมาเที่ยวล่ะครับ วันนี้ กทม. ก็ไม่ได้ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นอดีต หรือร่วมสมัย คนมาแล้วก็ไม่อยากจะมาอีก นักลงทุนไม่ต้องพูดถึง วันนี้ถ้าเกิดเขาจะเลือกเขาไปสิงคโปร์ หรือไม่ก็ไปกัวลาลัมเปอร์ ผมรู้เรื่องนี้ผมเคยทำเรื่องนี้มา เพราะฉะนั้นผมบอกกับทุกท่านเลยครับว่า เราสามารถเปลี่ยนเศรษฐกิจเมืองให้ทันสมัย สร้างรายได้ สร้าง Bit เศรษฐกิจเมืองดิจิทัล ให้กับกรุงเทพมหานคร #เราทำได้

เพราะคนไทย คนกรุงเทพฯ ท่านเชื่อผมเถอะครับ เราเก่งไม่แพ้ใครในโลก เขาต้องการผู้นำเท่านั้นแหละครับ พรุ่งนี้พร้อมเกิดขึ้นได้ทันที มาพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องการศึกษาของ กทม. ผมแค้นที่สุด ท่านรู้มั้ยครับว่า คะแนนการอ่าน คะแนนคณิตศาสตร์ คะแนนวิทยาศาสตร์ของลูกหลาน กทม. ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนสังกัด กทม. ได้คะแนนต่ำที่สุดในประเทศไทย ต่ำยิ่งกว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีก ผมแค้นมากครับ ในขณะที่เด็กโรงเรียนสังกัดเมืองหลวงไม่ว่าจะเป็นกรุงปักกิ่ง กรุงโซล กรุงไทเป กรุงโตเกียว สิงคโปร์ ได้คะแนนสูงลิบลิ่ว ติดระดับท้อปของโลก มันเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ ไหนบอกการศึกษาคือหัวใจของประเทศไงครับ แล้ว กทม. นั่นเหรอครับ ผมแค้นครับ

คนกรุงเทพฯ ไม่เชื่อโรงเรียน กทม. ไม่เชื่อในคุณภาพ ก็เลยต้องกระเสือกกระสน ปลุกลูกตี 4 ตี 5 ไปเสียสตางค์ส่งลูกไปเรียนข้ามเมือง แล้ว กทม. ก็ไม่ได้ดูแลครู กทม. ให้ดี ผมเป็นครู พ่อแม่ผมเป็นครู ผมเข้าใจเรื่องนี้ดี ถ้าผมได้รับโอกาสจากพี่น้องคน กทม. ให้ผมเป็นผู้ว่า ฯ กทม. จะให้มันรู้กันไปครับว่า ผมจะทำให้โรงเรียน กทม. นี้ มีคนแย่งเข้าเรียน ให้มันรู้ไปสิครับว่า #เราทำได้

น้องแม้ว ภรรยาผม เราทำโฮมสคูล (Home School) โรงเรียนที่บ้านด้วยกัน เพราะเราไม่อยากให้ลูกวัย 3 ขวบของเราต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในรถ เหมือนที่เราเคยทนทุกข์ทรมาน แล้วก็ยังทนอยู่นี้ แล้วผมก็เปิดโอกาสให้ลูกของอาจารย์ที่ลาดกระบัง ผมกับน้องแม้ว ดูแลสปอนเซอร์ทุกอย่าง ท่านรู้มั้ยครับว่า ลูกๆ ของเรา 3 ขวบเท่านั้น พูดภาษาไทย พูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่ว จำศัพท์ได้มากกว่าผมอีกครับ เท่านั้นไม่พอนะครับ เล่นดนตรีก็ได้ รู้โค้ดดิ้ง สุขภาพจิตแจ่มใส สุขภาพกายแข็งแรง ผมรู้นะครับว่าจะดูแลเด็กให้เก่งยังไง ผมนำประสบการณ์ของผมนี่แหละครับ ไปสร้างโรงเรียนอนุบาลสาธิตนานาชาติ ที่พระจอมเกล้าลาดกระบัง แล้วเปิดมหาวิทยาลัยเด็กเล็ก Kid University แห่งแรกของอาเซียน นั่นหมายความว่า ผมจะทำโรงเรียนสาธิต 50 เขต 50 โรงเรียนให้ลูกหลานคน กทม. ได้เรียน 2 ภาษา รู้โค้ดดิ้ง รู้ AI รู้ควอนตัม ผมทำมาแล้วครับ และผมมั่นใจ #เราทำได้

แต่ก็ยังมีเรื่องน่าเศร้าครับ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ของ กทม. 292 ศูนย์ ไม่ได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ ท่านอาจจะไม่เชื่อ เป็นเรื่องเหลือเชื่อเลยว่า มีหลายเขตใน กทม. ไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บางกอกใหญ่ บางแค บางบอน พระนคร สัมพันธวงศ์ ไม่มีครับ แล้วแบบนี้อนาคตของเด็ก กทม. จะอยู่ที่ไหน เพราะว่าเด็ก กว่าจะถึงอนุบาล ก็สายเสียแล้ว …
ผมขอโอกาสพี่น้องคนกรุงเทพฯ ให้ผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ผมสัญญาผมจะดูแลลูกหลาน กทม. ลูกท่าน หลานท่านเหมือนลูกของผม ผมจะทำให้ลูกท่านวันนี้จะต้องเก่งไม่แพ้ใครในโลก #เราทำได้

เรื่องนี้ผมแค้นจริงๆ นะครับ มีโอกาสเป็นผู้ว่าฯ กทม. เมื่อไหร่ ผมจะประกาศแข่งกับสิงคโปร์เลย ดูซิว่าจากคะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินจะให้สู้เหมือนสิงคโปร์ให้ได้ ให้มันรู้กันไปครับ! ขออภัยครับ พอพูดถึงเรื่องการศึกษา ผมอินครับ ผมฝันว่า จะขอเป็นผู้ว่าการศึกษา กทม. คนแรกครับ !

ผมว่าหลายๆ ท่านก็คงจะมีชีวิตแบบผมนะครับ เพราะว่าวันนี้คุณพ่อคุณแม่ของผมนี้อายุ 85 แล้ว ผมต้องดูแล เห็นอย่างนี้นะครับ ไปหาหมอวันเว้นวันครับ เกิดอะไรขึ้นครับ พ่อแม่คน กทม. ต้องตื่นตี 3 ไปเข้าคิวตอนตี 4 ครึ่ง เพื่อรับบัตรคิว ตอนเช้ามาเจาะเลือดไปทานข้าว กลับมาหาหมอตอนบ่าย กว่าจะกลับถึงบ้านก็เย็น คุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย หลายครอบครัวช่วยตัวเองไม่ได้ ลูกหลานต้องลางานทั้งวัน เสียรายได้ ต้องลำบากสู้ทน กทม. มีศูนย์บริการสาธารณสุข 68 แห่ง หน้าปากซอย ยอมรับเถอะครับ คน กทม. ส่วนใหญ่ไม่รู้อยู่ตรงไหน เพราะไม่ใช่ เขาไม่เชื่อไม่มีหมอ ไม่มีเครื่องมือแพทย์เพียงพอ ถ้าให้โอกาสผมเป็นผู้ว่า กทม. เมื่อไหร่ ผมจะยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. 68 ศูนย์ เป็นศูนย์การแพทย์ และมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องฟอกไตอยู่ทุกศูนย์ครับ #เราทำได้ครับ ท่านครับผมทำเครื่องมือแพทย์มากที่สุดในประเทศไทยมาแล้ว ส่งให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ทุกจังหวัด แล้วทำไมผมจะดูแลคุณพ่อคุณแม่ของท่านไม่ได้ ผมขออาสาครับ ขอโอกาสจากท่านเป็นผู้ว่า กทม. เพื่อจะดูแลคุณพ่อคุณแม่ของเราคน กทม. อย่างมีคุณภาพ

ทุกท่านครับ ท่านเห็นมั้ยครับว่า กรุงเทพฯ เมืองใหญ่มาก ปัญหาใหญ่มากซับซ้อนมาก ถ้าเกิดท่านจะแก้ปัญหากรุงเทพฯ ท่านต้องคิดใหญ่กว่าใช่มั้ย ถ้าเกิดท่านไปคิดเล็กอีกกี่ชาติก็แก้ปัญหา กทม. ไม่ได้ใช่มั้ย เพราะฉะนั้นผมมาที่จะประกาศวิสัยทัศน์ ร่วมกับ คน กทม. ทุกคนครับ

“กรุงเทพฯ จะต้องเป็นเมืองสวัสดิการที่ทันสมัย ต้นแบบของอาเซียนให้ได้”

กรุงเทพฯ เมืองสวัสดิการ ที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชนพลเมืองทุกคนอย่างเท่าเทียม อย่างมีคุณภาพ (จะบอกว่าเขาดูแลแล้ว) แต่ที่เห็นเหมือนการศึกษา เหมือนสาธารณสุขบอกดูแลแล้ว ไม่มีใครไปใช้บริการเพราะไม่มีคุณภาพ เพราะฉะนั้นคำว่า “เมืองสวัสดิการ ดูแลทุกคนเท่าเทียม” แต่ย้ำอีกทีนึง “ต้องมีคุณภาพ” ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระบบขนส่งมวลชน ฟุตบาท ทางเท้า ทางเดิน จนการศึกษาที่ฟรี! และมีคุณภาพ! หรือการดูแลทางด้านสาธารณสุข ตั้งแต่เด็กที่อยู่ในท้อง จนถึงผู้สูงอายุ ต้องดูแลอย่างมีคุณภาพ

และที่สำคัญเมืองดีๆ สวัสดิการทั่วโลก ไม่ว่ายากดีมีจนสามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ สามารถเข้าถึงการบริการสาธารณะอย่างมีคุณภาพ สวนสาธารณะขนาดย่อมต้องมีทั่วกรุงเทพฯ เหมือนกับโตเกียว ให้คนเดินได้ สัตว์เลี้ยงเดินดีปลอดภัย และที่สำคัญที่สุด เมืองต้องใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม เข้มข้น เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครอย่างเท่าเทียม

กรุงเทพฯ จะต้องเปลี่ยนเป็นเมืองที่ทันสมัย ขอโทษเถอะครับ วันนี้ทุกเมืองที่ประสบความสำเร็จ ใช้หลักการด้านวิศวกรรม และเทคโนโลยีหมดแล้วครับ แล้วท่านดู กทม. ถ้าเกิดคิดแบบเดิม ทำแบบเก่า บริหารแบบเก่า ถ้าเกิดมันจะแก้ปัญหาได้ มันคงจะแก้ไปได้เมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว ถูกต้องมั้ยครับ!

ถ้าเกิดท่านให้โอกาสผมเป็นผู้ว่า กทม. ผมมั่นใจครับ บุคลากร เจ้าหน้าที่ กทม. เรียนรู้ใหม่ได้ เขาสามารถมีความพร้อมใช้เทคโนโลยีเพื่อบริการพี่น้องประชาชนได้ ผมอยากให้กรุงเทพฯ เหมือนกรุงโตเกียว ถ้าเกิดใครไม่เชื่ออะไร ท่านอ้างกรุงโตเกียวเลยครับ กรุงโตเกียวเจอพายุ ไต้ฝุ่น 7-12 ลูก กรุงเทพฯ พายุเรียกอนุบาล โตเกียวเรียกศาสตราจารย์เลยครับ น้ำท่วมมั้ยครับ ไม่!

กรุงโตเกียว มีความหนาแน่นมากกว่า ทุกอย่างมากกว่าหมดเลย รถไม่เห็นติดเหมือนกรุงเทพฯ เพราะอะไร เพราะความทันสมัยของเขา เขาใช้หลักการแก้ปัญหาโดยวิศวกรรมและเทคโนโลยี ก็ดูเรื่องน้ำท่วมสิครับ คนยังต้องไปไขกุญแจ เติมน้ำมันดีเซลหน้าปากซอย กุญแจลืมบ้าง กลับไปเอาใหม่ เดี๋ยวสตาร์ทไม่ติดน้ำมันหมด ไม่มีแล้วครับ เมืองที่ทันสมัย ระบบปั๊มน้ำสูบน้ำ ต้องเป็นระบบไฟฟ้า ควบคุมอัตโนมัติ ประตูน้ำ ต้องถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เหมือนกับสิงคโปร์ คนไทยยังดูได้เลยเขามีการเปิดปิดยังไง เหมือนสิงคโปร์ เหมือนโตเกียว ก็ทำมาตั้งนานแล้ว

และในอนาคตเราต้องแก้ปัญหาน้ำท่วมแบบเบ็ดเสร็จด้วยแก้มลิงใต้ดิน เหมือนกรุงโตเกียว แล้วท่านครับ มันถึงเวลาแล้ว ที่ผู้ว่าฯ กทม. ต้องแสดงบทบาทความเป็นผู้นำ ประสานกับจังหวัดปริมณฑลสมุทรปราการ สมุทรสาคร ริเริ่มโครงการป้องกันน้ำทะเลหนุน เหมือนกับเนเธอร์แลนด์ เหมือนกับเวนิส นี่คือโอกาสรอด โอกาสเดียวที่ลูกหลานเรายังจะมีแผ่นดินอยู่ #เราทำได้

ท่านครับ กรุงเทพฯ เป็นเมืองสุดท้ายแล้วครับที่ใช้ตำรวจจราจรเปิด-ปิดไฟ ลอนดอน นิวยอร์ค แฟรงซ์เฟิร์ต สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ กรุงโซล ไทเป กรุงโตเกียว ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ AI สมบูรณ์แบบไปแล้วครับ ไม่ต้องรบกวนใช้บริการตำรวจจราจรไม่มีอีกแล้วครับ เพราะมีความถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัยมากกว่า กรุงเทพฯ ต้องเป็นอย่างนั้น

อินเทอร์เน็ต ถึงเวลาแล้วที่ลูกหลานกรุงเทพฯ ต้องใช้อินเทอร์เน็ตฟรีในการเรียนรู้ ประชาชนไม่ว่าเป็นใคร สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตฟรีใช้ในการค้าขายออนไลน์ได้ ในยุคนี้เข้าถึงไม่ได้เสร็จอย่างเดียวครับ แล้วที่สำคัญระบบอินเทอร์เน็ตของ กทม. ต้องใช้ในการเตือนภัยพี่น้องประชาชน ฝนตก น้ำท่วม เตือนฝุ่นพิษ อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่น้ำทะลักที่สะพานซังฮี้ น้ำท่วมไม่มีระบบเตือนภัยอะไรเลย มันไม่ได้แล้วใช่มั้ย

และที่สำคัญ กรุงเทพฯ แน่นขึ้นๆๆ เมืองที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก คิดเมืองเป็นสี่มิติ กว้างxยาว ทำให้ดี เพิ่มพื้นที่การจราจร เกาะกลางถนน ผมเป็นผู้ว่า กทม. เมื่อไหร่ เดี๋ยวจะจัดการให้เลย มีที่ไหน รถไปฉีดน้ำขวางทางชาวบ้านประจำเลย ขาเข้าตรงนี้ติด ขาออกไม่ติด เอาเกาะกลางถนนออก ได้เพิ่มพื้นที่การจราจร ได้บริหารจัดการจราจรโดยไม่ต้องเสียเงินอะไรเลย แต่เขาไม่มองแค่เป็น 2 มิติ เขามองลอยฟ้า ท่านจะได้เห็นจักรยานลอยฟ้า ท่านขี่ไปทำงานออกกำลังกายได้ปลอดภัย แล้วจะมีการเพิ่มพื้นที่ใต้ดิน ให้พ่อแม่ พี่น้องที่ทำมาหากินได้ใช้ มีห้องน้ำ มีทุกอย่าง
ท่านไปดูสิงคโปร์สิครับ ท่านไปดูจีนสิครับ หรือแม้แต่กัวลาลัมเปอร์ ไม่ต้องพูดถึงญี่ปุ่น เกาหลี ที่ทำมาหากินใต้ดินสะอาดสะอ้าน มีน้ำ มีก๊อกน้ำทุกอย่าง เสร็จหมดสิ้น ไม่ต้องมาเบียดบังพื้นที่ฟุตบาททางเดิน เมืองอื่นเขาทำหมดแล้วครับ กรุงเทพฯ จะทำ #เราทำได้

ทุกท่านครับ เราเกิดมาเป็นคนทั้งที มาถึงวันนี้ เราคิดอะไรดีๆ ทำให้มันสุดๆ ถ้าเกิดท่านคิดว่าให้มันดีขึ้นทำเท่านี้ ในความเป็นจริงมันอยู่เท่านี้ ลูกหลายเราลำบากต่อ เราต้องกล้าคิดว่าเราต้องไปตรงโน้น อย่างน้อยที่สุดถ้าเกิดมันไม่ไปถึงตรงโน้น มันลงมาตรงนี้ ลูกหลานคนกรุงเทพฯ ก็รอดถูกมั้ย ดังนั้นกรุงเทพฯ จะต้องเป็นเมืองต้นแบบของอาเซียนให้ได้

เรามีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเรามากที่สุด แต่เราก็อยากจะเป็นเหมือนญี่ปุ่น ไปกันกี่ครั้งไม่เบื่อเลยใช่มั้ย เพราะไปทุกครั้ง เทศกาลเปลี่ยนทุกเดือน สนุกทุกเดือน เราจะเปลี่ยนให้กรุงเทพฯ เป็น Bangkok City of Joy มีเทศกาลทุกเดือน ชาวต่างประเทศมาสนุก กลับมาแล้วกลับมาอีก มาจับจ่ายมากขึ้น และที่สำคัญลูกหลานกรุงเทพฯ ก็สนุก มีความสุขด้วย มีแต่เรื่องดีๆ

ทุกท่านครับ ฟังทางนี้ให้ดี ถ้าผมได้รับโอกาสจากพี่น้องคน กทม. มารับใช้ในฐานะผู้ว่าฯ กทม. ผมจะให้ กทม. เสนอตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2036 !

อย่าหัวเราะนะครับ ท่านรู้มั้ยว่า โอลิมปิก เปลี่ยนเมือง เปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนชีวิตคน ท่านดูโอลิมปิก ริโอ เดอจาเนโร เปลี่ยนจากเมืองอาชญากรรมเป็นเมืองที่ปลอดภัยเพราะโอลิมปิก ท่านเห็นบาเซโลน่า เปลี่นยเมืองที่ผังเมืองยุ่งเหยิง เป็นเมืองที่มีผังเมืองดีที่สุดในยุโรปวันนี้ ท่านเห็นกรุงปักกิ่งเปลี่ยนเมืองจากอากาศพิษเลวร้าย เป็นเมืองอากาศบริสุทธิ์ เพราะปักกิ่งโอลิมปิค ท่านเห็นกรุงโซล โอลิมปิค เปลี่ยนแม่น้ำเน่าเสียเป็นแม่น้ำใสสะอาด เพราะโอลิมปิก และท่านเพิ่งเห็นใช่มั้ย โตเกียวโอลิมปิก เปลี่ยนเมืองในอดีต เป็นเมืองแห่งอนาคตที่ทันสมัยขวัญใจคนทั่วโลก แล้วถ้าเกิดกรุงเทพฯ ก็เหลืออยู่เมืองเดียวแล้ว ท่านจะไม่สู้เหรอครับ ปักกิ่ง กรุงโซล โตเกียว เขาจัดมาแล้ว เหลือแต่กรุงเทพฯ ท่านจะรอไปจาการ์ตา ไปสิงคโปร์เหรอครับ ผมไม่รอด้วยคนแล้วครับ

ถ้ากรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก ซึ่งผมมั่นใจเราทำได้ จะเกิดอะไรขึ้น ฟุตบาทราบเรียบสนิท คนแก่คนพิการเดินได้หมด สายไฟฟ้าลงดินทุกถนน รถไฟฟ้าทั่วถึง ปรับเป็นพลังงานสะอาด ดูแลได้ทุกคน ปราศจากฝุ่นพิษ PM 2.5 เพราะมีแขกมาบ้านถูกมั้ย นี่คือสุดยอดเลย เราทำตรงนี้ กรุงเทพฯ นี้เปลี่ยน ก้าวกระโดดเลยครับ ทุกท่านครับ เราจะเปลี่ยนทั้งที เราต้องไปให้สุด #เราทำได้

มีคนถามผมว่าทำไมผมถึงออกจากพื้นที่สบายโซนของผม มีคนถามเยอะ หลายคนก็กังวล ผมมีเหตุผล 3 ข้อ ข้อแรก ผมเป็นหนี้คนไทยทุกคน คนไทยทุกคนเสียภาษีส่งผลไปเรียนปริญญาเอกมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลก ได้ให้ผมไปเรียนและกลับมามีอาชีพที่มีเกียรติ มีชีวิตที่ดี ให้ผมมีโอกาสได้รางวัลเกียรติยศระดับโลก ได้มีโอกาสเรียนรู้กับบุคคลผู้นำระดับโลก นี่เป็นเพราะคนไทย เพราะฉะนั้นแล้ววันนี้ ชัดเจนนะครับ เป็นยุคที่กรุงเทพฯ วิกฤติ เป็นยุคเปลี่ยนถ่ายของเจนเนอร์เรชั่นที่ยากที่สุด ถ้าผมพอมีความรู้ มีประสบการณ์ มีความสามารถ ผมต้องกล้าออกมาแสดงตน กล้าออกมาอาสา และที่สำคัญ ผมเป็นนายกสมาคมนักเรียนทุนรัฐบาลไทยจากภาษีพี่น้องประชาชน ผมต้องการจะเป็นตัวอย่างแก่น้องๆ เด็กทุนรุ่นหนุ่มสาวทุกคนว่า อย่าอยู่ในพื้นที่สบายตน ให้กล้าหาญออกมาทำงานที่ยากท้าทายและอาจจะเจ็บตัวเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยของเรา

ข้อที่ 2 ผมรู้ครับ ว่าหน้าที่ผู้ว่าฯ กทม. นั้น ต้องเป็นทั้งพ่อบ้าน และเป็นทั้งนายช่างใหญ่ในคนเดียวกัน ต้องมีประสบการณ์รอบด้านกว่าอาชีพใด ๆ ต้องเข้าใจทางด้านวิศวกรรมอย่างลึกซึ้ง เข้าใจธรรมดาโดนลูกน้องหลอกนะครับ ต้องเข้าใจเมือง ต้องเข้าใจเศรษฐกิจ ต้องเข้าใจการศึกษา เข้าใจสาธารณสุข เข้าใจสิ่งแวดล้อม ผมได้ใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์มาถึง 30 ปีเต็มเพื่อวันนี้

30 ปีเต็ม และเป็น 30 ปีที่ผมไม่อยู่นิ่งเลย ผมเดินทางทั่วโลก แสวงหาหนทางแก้ปัญหาทั่วโลก ล่าสุดผมไปพบท่านผู้ว่าฯ กรุงโตเกียว ท่านยูริโกะ โกอิเกะ ที่ศาลาว่าการโตเกียว ศาลาว่าการกรุงโตเกียวนี้ ที่ชินจูกุ ท่านเห็นมั้ย ตึกเหมือนดินแดงเลย ชั้นบนสุดให้พี่น้องประชาชนคนโตเกียวหรือนักท่องเที่ยว ได้ขึ้นไปดูโตเกียว 360 องศา ผมได้รับโอกาสเป็นผู้ว่าฯ กทม. จากพี่น้องประชาชนเมื่อไหร่ ผมจะคืนชั้นบนสุดของที่ว่าการกรุงเทพมหานคร ที่ดินแดง เป็นพื้นที่ให้พี่น้องประชาชนลูกหลานได้ขึ้นไปใช้บริการดูกรุงเทพฯ ฟรี!

โตเกียวทำได้ ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่พลเมือง กรุงเทพฯ ก็ต้องทำได้เช่นกัน

และข้อที่ 3 ถึงแม้ว่า ผมเกิดที่ชลบุรี โตที่ระยอง แต่ผมมาเรียนกรุงเทพฯ แล้ววันนี้ชีวิตทั้งชีวิตของผม และครอบครัวผม คุณพ่อคุณแม่ผมอยู่ที่นี่ เป็นคนกรุงเทพฯ และยังต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนท่านกับปัญหาที่ซ้ำซาก

ผมขอเป็นตัวแทนพ่อแม่ที่มีลูกเล็กทุกคนเหมือนผม ที่เรายังห่วงใยอนาคตของเขาเรื่องการศึกษา

ผมขอเป็นตัวแทนลูกทุกคนที่ยังมีพ่อแม่ที่ยังต้องคอยดูแลเอาใจใส่ เจ็บไข้ได้ป่วย

ผมขอเป็นตัวแทนคนกรุงเทพฯ ทุกคน ที่ยังต้องทำมาหากิน ทำงานงานหนัก เพื่อดูแลครอบครัว

ผมขอเป็นตัวแทน ลูกๆ หลานๆ คนกรุงเทพทุกคน ที่เขาอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ที่เขาอยากมีอนาคต

ทุกท่านครับ วันนี้ วินาทีนี้ ผม เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผมเตรียมมา 30 ปี ขอโอกาสพี่น้องประชาชน เรามาร่วมกัน มาเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ร่วมกัน เพื่อมาสร้างอนาคตแก่ลูกหลาน มานำรอยยิ้มคืนแก่คนกรุงเทพ

ผมเชื่อมั่น เปลี่ยนกรุงเทพ #เราทำได้ ครับ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปชป. ขย่ม 'เศรษฐา' มีแค่อำนาจทิพย์ ทำไทยไม่ติดอันดับประเทศน่าลงทุน

ปชป. จี้รัฐบาลเร่งแก้ไข หลังผลจัดอันดับ EIU ไทยไม่ติดประเทศน่าลงทุน เหตุไร้เสถียรภาพการเมือง 'เศรษฐา' มีแค่อำนาจทิพย์ โดน 'อดีต-อนาคต' นายกฯ ประกบตลอด

อดีต ผู้สมัครสส. สัมพันธ์ชู้สาวกับพระ ลาออกพ้นประชาธิปัตย์

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงผลการสอบข้อเท็จจริง ตามที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

กัดกันยับ 'กก.บห.' ข้องใจ 'เชาว์' รับงานทำลายปชป.

นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคมีแนวคิดที่จะขับ นายเชาว์ มีขวด ออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ว่า กรณีนี้ ตนเห็นใจ นายธนา ชีรวินิจ อดีต ส

เจอกันในศาล! 'เชาว์' ท้า 'เฉลิมชัย' ให้ไว ขับพ้นสมาชิก ปชป.

'ทนายเชาว์' ท้า 'เฉลิมชัย' รีบขับออกจากสมาชิก ปชป. แล้วเจอกันที่ศาล ยันไม่มีพฤติกรรมให้ร้ายพรรค โต้ไม่จริง 'ธนา' เคลมให้ตำแหน่งรองโฆษกฯ ไล่ลงพื้นที่ดูแลคนห้วยขวาง