ในขณะที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของไทย เดินทางเยือน ราชอาณาจักรกัมพูชา ระหว่างวันที่ 23-24 เมษายน 2568 ในวาระครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างสองประเทศ
การเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี และหารือกับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จึงดูเป็นภารกิจทางการทูตที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและพิธีการ
แต่สำหรับคนไทยจำนวนไม่น้อย ภาพการพบกันของผู้นำรุ่นลูกทั้งสองไม่ได้สะท้อนเพียงมิติระหว่างประเทศ
ตรงกันข้าม มันชี้ให้เห็นถึงการพบกันของ “ทายาททางอำนาจ” ที่สืบทอดโครงข่ายทางการเมืองมาจากรุ่นพ่ออย่างชัดเจน
ความสัมพันธ์ในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงรัฐต่อรัฐ แต่มีชั้นเชิงของ “ตระกูลต่อรัฐ” และ “อำนาจต่ออำนาจ” ทับซ้อนอยู่ตลอด
โดยเฉพาะเมื่อผู้นำฝั่งไทยคือ บุตรสาวของอดีตนายกรัฐมนตรี ขณะที่ฝั่งกัมพูชา คือ บุตรชายของผู้นำที่ครองอำนาจอย่างยาวนานถึง 38 ปี
ทั้งคู่ต่างก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดโดยไม่หลุดพ้นเงาของรุ่นพ่อ ไม่ว่าจะในสายตาประชาชนหรือโครงสร้างเบื้องหลังที่ยังดำรงอยู่
หลังรัฐประหารปี 2549 ทักษิณ ชินวัตร เดินทางออกนอกประเทศ ไม่ใช่เพราะรัฐห้ามกลับ
แต่เพราะเลือก หลีกเลี่ยงโทษจำคุกตามคำพิพากษา ในคดีทุจริต ซึ่งทำให้ความขัดแย้งในเวลานั้น ลุกลามเกินกว่าข้อกฎหมายธรรมดา
ในขณะที่หลายประเทศเลือกวางตัวเป็นกลาง กัมพูชา ภายใต้การนำของ สมเด็จฮุน เซน กลับต้อนรับอย่างเปิดเผย
ไม่เพียงเปิดประตูต้อนรับ แต่ยังแต่งตั้ง ทักษิณ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาเศรษฐกิจระดับชาติของกัมพูชา
ทั้งที่ในสายตานานาชาติ ทักษิณ ยังคงเป็น อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคำพิพากษา
นอกเหนือจากบทบาททางการทูต กัมพูชายังเป็น พื้นที่ปลอดภัยทางการเมือง ที่ทักษิณใช้เชื่อมโยงกับเครือข่ายในไทย
โดยเฉพาะกับ กลุ่มคนเสื้อแดง ที่ขณะนั้นเคลื่อนไหวเข้มข้นทั้งในและนอกสภา และยังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นฐานอำนาจเดิมของทักษิณ
ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลจึงไม่เคยจางหาย กลับยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับเหตุการณ์ทางการเมือง
จนกระทั่งในปี 2567 หลัง ทักษิณ ได้รับการพักโทษ สมเด็จฮุน เซน เดินทางมาเยี่ยมถึงบ้านพัก จันทร์ส่องหล้า ในกรุงเทพฯ
เหตุการณ์นี้ ไม่ใช่เพียง มิตรภาพส่วนตัวระหว่างอดีตผู้นำ แต่สะท้อนถึง เครือข่ายทางอำนาจที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในเงา
การส่งต่ออำนาจไม่จบแค่รุ่นพ่อ เพราะทั้งสองประเทศต่างผลักดัน “รุ่นลูก” เข้าสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศอย่างชัดเจน
ฝั่งไทยคือ แพทองธาร ชินวัตร ฝั่งกัมพูชาคือ ฮุน มาเนต ทั้งสองคนต่างก้าวขึ้นโดยมี มรดกทางการเมืองของครอบครัว หนุนหลังเต็มที่
สำหรับฝ่ายไทย ตำแหน่งของ แพทองธาร ไม่ได้เกิดจากคะแนนเสียงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลจาก “สายเลือดทางอำนาจ” ที่สืบต่อมา
ขณะที่ฝั่งกัมพูชา การเปลี่ยนผ่านจาก ฮุน เซน สู่ ฮุน มาเนต ดำเนินอย่างราบรื่นภายใต้ พรรค CPP ซึ่งอดีตผู้นำยังควบคุมอยู่เบื้องหลัง
สายสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลยังลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อ ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ บุตรสาวของ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (เจ๊แดง) สมรสกับ ลินัล นัม ลูกชายของนักการเมืองระดับสูงจาก พรรค CPP
แม้ ลินัล จะไม่ใช่เครือญาติสายตรงของผู้นำกัมพูชาในรุ่นลูก แต่ความเชื่อมโยงผ่าน เครือข่ายของฮุน เซน ในระดับผู้มีอำนาจ สะท้อนถึง การถักทอสายสัมพันธ์ข้ามพรมแดนที่ฝังรากมานาน
ทั้งหมดนี้ทำให้ตำแหน่งผู้นำในรุ่นลูก ไม่ได้สะท้อนเพียงเจตนารมณ์ของคนรุ่นใหม่ แต่คือ การส่งต่ออำนาจที่วางแผนไว้ชัดเจน
ชื่อของ MOU 44 เอกสารความร่วมมือระหว่างไทย–กัมพูชา ซึ่งลงนามในสมัยรัฐบาล ทักษิณ เมื่อปี 2544 จึงกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง
แม้ข้อตกลงนี้จะยังไม่ถูกนำมาใช้จริง แต่ก็ไม่เคยถูกยกเลิก และยังคง ปกคลุมความสัมพันธ์ของสองประเทศด้วยเงาที่มองไม่เห็น
สังคมไทยจึงตั้งคำถามว่า หากมีการ ปัดฝุ่น MOU 44 ขึ้นมาอีกครั้ง ใครคือผู้ได้รับประโยชน์ตัวจริง
ประชาชนไทย หรือกลุ่มทุนที่เชื่อมโยงกับตระกูลการเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ยังมีข้อพิพาทด้านอธิปไตย
เพราะหากการเจรจาครั้งใหม่เปิดช่องให้ทุนข้ามชาติเข้าถือครองสัมปทานทรัพยากรของประเทศก็อาจตกอยู่ในมือคนไม่กี่กลุ่มที่ใกล้ชิดอำนาจ
แม้ รัฐบาลจะยืนยันว่าการสานสัมพันธ์กับกัมพูชาอยู่บนหลักประโยชน์ของชาติ แต่เมื่อทุกกลไกล้วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายเดิม คำถามเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ย่อมไม่อาจมองข้าม
ตำแหน่งของ แพทองธาร ชินวัตร จึงไม่ได้มีแค่ภารกิจบริหารประเทศ แต่ยังต้อง พิสูจน์ว่า สามารถวางผลประโยชน์ส่วนตัวแยกออกจากผลประโยชน์ของชาติได้หรือไม่
เพราะถ้าความแน่นแฟ้นของสองตระกูลถูกใช้เป็นช่องทางแบ่งเค้กอำนาจ มันจะไม่ใช่แค่ทุนทางการเมือง แต่จะกลายเป็น บาดแผลระยะยาวของประชาธิปไตย
ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ควรถูกขับเคลื่อนด้วยสายเลือดหรือเครือญาติ
แต่ต้องยึด ผลประโยชน์ร่วมของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ผลประโยชน์ของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ไม่ว่าจะแน่นแฟ้นกับอำนาจเพียงใดก็ตาม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บ้านใหญ่กวาดเรียบ เลือกตั้ง‘นายกเล็ก-สท.’ ปชน.หมดสภาพพ่ายยับ
ประธาน กกต.ตั้งเป้าใช้สิทธิ 70% เผยมีคดีร้องเรียนแล้ว 352 เรื่อง “ระพีพงษ์”
เปิดเบื้องลึกประชุมแพทยสภา ชี้ อนุฯเสนอลงโทษหมอ 4 คน
แพทยสภานัด12 มิ.ย. รอ”สมศักดิ์”วีโต้หรือเอาด้วย เผย อนุกรรมการสอบสวนเสนอลงโทษหมอ 4 คน แต่คนที่ 4 รอด หลังปิดห้องถกสามชั่วโมง สุดท้าย เอาผิด3 คน
ดิเรกฤทธิ์ จี้เอาผิดผู้ร่วมขบวนการช่วย ‘ทักษิณ’ ชั้น 14
นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม อดีตสว. เปิดเผยถึงกรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจว่า
‘เทพไท’ จี้ อุ๊งอิ๊ง รับผิดชอบคดีชั้น 14 ย้ำเจ้าตัวรู้เรื่องดี
นายเทพไท เสนพงษ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเพจ เทพไท - คุยการเมือง ระบุว่า คดีชั้น14 อุ๊งอิ๊ง รู้เรื่องดี ต้องรับผิดชอบ!!!