เมื่อภาพของ สนธิ ลิ้มทองกุล กับ จตุพร พรหมพันธุ์ ปรากฏอยู่บนเวทีเดียวกัน มันไม่ใช่แค่ภาพของชายสองคนที่เคยเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่คือภาพสะเทือนประวัติศาสตร์การเมืองไทยในรอบเกือบ 20 ปี
นั่นคือภาพของ ศัตรูเก่า ที่เคยลากมวลชนมาชนกันกลางถนน คนหนึ่งคือสัญลักษณ์ของพันธมิตรฯ เสื้อเหลือง อีกคนคือ หัวใจของคนเสื้อแดงผู้ยืนเคียงข้างทักษิณ ในวันที่ เลือดไหลนองราชประสงค์
พวกเขาไม่ได้แค่ยืนร่วมเวที หากแต่กำลัง ร่วมรบอีกครั้ง เป้าหมายที่เคยตรงข้ามกัน วันนี้กลับมาบรรจบตรงที่เดิม คือการต่อสู้กับ “ระบอบทักษิณ” ที่กำลังหวนคืนและ ฝังรากแน่นยิ่งกว่าครั้งใด
ไม่ใช่ การคืนดีจากความเห็นต่าง แต่คือ การรวมพลังจากความผิดหวังซ้อนทับกันหลายชั้น ฝ่ายหนึ่งเคยลุกขึ้นต่อต้านเพราะมองว่าระบอบทักษิณบ่อนทำลายสถาบัน อีกฝ่ายเคยยืนหยัดปกป้องเพราะเชื่อว่าทักษิณคือ ความหวังของประชาธิปไตย
แต่ในวันนี้ทั้งคู่พบว่า สิ่งที่พวกเขาเคยเชื่อ ต่างถูกแปรเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาโดยน้ำมือของระบอบเดิมคนเดิม ทักษิณกลับบ้านอย่างมีอภิสิทธิ์ แพทองธารยืนหนึ่งในทำเนียบ แผนปรองดองกลายเป็นฉากปิดตาประชาชน
เวทีของสนธิกับจตุพรจึงไม่ใช่แค่เวทีของนักเคลื่อนไหวเก่า หากคือเวทีที่กำลังขุดรากระบบอุปถัมภ์ใหม่ในคราบประชาธิปไตยแบบครอบครัว และที่สำคัญ มันคือเวทีที่ไม่มีสีเสื้ออีกต่อไป
สิ่งที่เรากำลังเห็นคือปรากฏการณ์ “วงกลมการเมือง” ศัตรูเก่าเดินทางรอบวงจนกลับมาเจอกันตรงกลาง และในจุดนั้น พวกเขาไม่ต้องเอ่ยถึงอดีตเพื่อให้อภัยกัน แต่พูดถึงอนาคตเพื่อจะล้ม สิ่งเดียวกัน
คำว่า “ระบอบทักษิณ” ที่เคยถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียงคำโฆษณาทางการเมือง วันนี้เริ่มปรากฏ ร่องรอยให้เห็นจริง มันไม่ได้เป็นแค่บุคคล แต่มันกลายเป็น เครือข่ายของอำนาจ ที่ถักทอทั้งรัฐ ธุรกิจ และอุดมการณ์เสมือน
เมื่อทักษิณกลับมาโดยไม่ต้องนอนคุกจริงแม้แต่คืนเดียว เส้นแบ่งของความยุติธรรมในสายตาประชาชนจึงเลือนหาย กระบวนการยุติธรรมกลายเป็นเครื่องมือที่ประชาชนตั้งคำถาม
ในวันนั้น จตุพรคือสัญลักษณ์ของคนที่พร้อมตายในที่ชุมนุมเพื่อทักษิณ แต่วันนี้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า เส้นทางของพรรคเพื่อไทยมิได้ยืนอยู่ข้างประชาชนอีกต่อไป และไม่มีคำพูดใดสะเทือนความสัมพันธ์เก่าได้เท่ากับ การเลือกเดินห่างออกมาโดยไม่เหลียวหลัง
เมื่อจตุพรออกมา ความหมายมันลึกยิ่งกว่าการถอนตัวทางการเมือง มันคือการถอนรากจากจิตวิญญาณของคนเสื้อแดง เพราะเขาคือหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังแบก “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” บนบ่ามาจนถึงวันนี้
สนธิอาจไม่ใช่คนใหม่ เขาคืออดีตที่หลายคนเคยมองว่าอยู่คนละฝั่งกับประชาธิปไตย แต่เวทีนี้ทำให้เราเห็นว่า ความจำเจของผู้มีอำนาจเดิม กำลังปลุกอดีตขึ้นมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ คือ พันธมิตรที่ไม่ต้องใช้สีเหลือง
แม้คนรุ่นใหม่จะไม่รู้ว่าพวกเขาเคยสู้กันอย่างดุเดือดเพียงใด แต่ การจับมือครั้งนี้มีนัยยะทางการเมืองลึกซึ้ง เพราะมันอาจเป็นครั้งแรกที่ประชาชนจำนวนหนึ่ง เริ่มเห็นว่าศัตรูเก่าอาจกลายเป็นความหวังใหม่
แพทองธารคือเป้าหมายรองของเวที แม้ไม่มีการเอ่ยชื่อโดยตรง แต่คำพูดหลายช่วงสะท้อนชัดถึง ความไม่เชื่อถือในคนรุ่นใหม่ ที่ขึ้นมารับไม้ต่อจากทักษิณ โดยไม่มีทั้งต้นทุนทางการเมืองหรือความเข้าใจในบทบาทของผู้คนที่เคยถูกใช้ให้ต่อสู้แทน
สิ่งที่เวทีนี้กำลังทำ จึงไม่ใช่แค่ การจี้พรรคเพื่อไทย แต่คือการเปิดโปงว่า “ความชอบธรรม” ที่เคยอ้างในนามประชาชน เหลือเพียงซากเปลือก และเสียงตั้งคำถามกำลังดังกว่าคำโฆษณาทางการเมืองทุกช่องทาง
รัฐบาลนี้คือรัฐบาลที่ก่อตั้งบนคำมั่นว่าจะ คืนประชาธิปไตยให้ประชาชน แต่กลับแลกอำนาจกับเสียงของฝ่ายเผด็จการ เวทีของสนธิ–จตุพรจึงกลายเป็น จุดแตกของภาพลวงตา ที่เคยถูกใช้ปิดตาคนทั้งประเทศ
แม้จำนวนผู้ชุมนุมจะยังไม่มาก แต่ สัญญาณทางการเมืองได้ดังขึ้นแล้ว และเมื่อศัตรูเก่าจับมือกันสำเร็จ มันอาจเป็น จุดเริ่มต้นของพันธมิตรแบบไร้สี ที่พร้อมชนกับ อำนาจในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม
คำถามที่คนทั้งประเทศเริ่มตั้งคือ ถ้าศัตรูเมื่อวานจับมือกันได้ แล้วเรายังต้องแบ่งแยกขั้วกันอีกหรือ? เวทีนี้จึงไม่ใช่เพียงเวทีทางการเมือง แต่คือเวทีของคำถามที่สังคมไทยไม่เคยกล้าถามมาก่อน
การรวมตัวของศัตรูเก่า ไม่ได้สะท้อนความอ่อนแอของความเชื่อในอดีต แต่อาจสะท้อนถึงพลังใหม่ที่กำลังประกาศว่า ประเทศนี้ต้องไม่เป็นของตระกูลใดตระกูลหนึ่งอีกต่อไป
เพราะที่สุดแล้ว ทักษิณอาจไม่ได้ล้มลงด้วยฝั่งตรงข้าม แต่จะถูกพังลงด้วยน้ำหนักจากความผิดหวังของแนวร่วมเดิม ที่วันนี้ ไม่เอาอีกแล้วกับคำโกหกในนามประชาธิปไตย
และหากเวทีนี้ขยายตัวได้จริง มันจะไม่ใช่แค่ม็อบธรรมดา แต่คือ แรงสั่นสะเทือนที่มาจากคนสองฝั่ง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเชื่อในคนละขั้ว—คนหนึ่งเคยยืนข้างฝ่ายตรงข้ามทักษิณ อีกคนเคยยืนข้างทักษิณ และวันนี้ ทั้งสองฝ่ายกลับมายืนข้างกัน
การเมืองไทยไม่เคยง่าย แต่เมื่อคนที่เคยพาม็อบตีกัน กลับมาจับมือกันเพื่อล้มระบอบเดิม นี่คือสัญญาณว่าเกมเดิมอาจเล่นไม่ได้อีกต่อไป
เพราะ การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง มักเริ่มจาก ผู้แพ้เมื่อวาน ที่มองทะลุผู้ชนะของวันนี้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นับหนึ่งสนามเลือกตั้ง 69 สำรวจบ้านเล็ก-บ้านใหญ่ บนแผนที่ภูมิใจไทย
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเตรียมพร้อมอย่างเป็นทางการ
‘เจ๋งดอกจิก’ ป่วยเส้นเลือดสมอง! ศาลเลื่อนอ่านฎีกาคดีก่อการร้าย
ศาลเลื่อนอ่านฎีกา คดี นปช.ก่อการร้าย เหตุ ”เจ๋ง ดอกจิก“ ป่วยเส้นเลือดสมองตีบ นัดใหม่ 20 ม.ค. ปีหน้า
เด็กเสียนิสัย! ‘ชูวิทย์’ อบรม ‘ธนาธร’ ปมหากพิธาเป็นนายกฯ ในวันนั้น
“ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์” โต้คำกล่าวของธนาธร ชี้เกมชายแดนต้องใช้ประสบการณ์และชั้นเชิง ระบุพรรคประชาชนยังอ่อนเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
‘ปิยบุตร’ เผยเบื้องหลัง MOA ปชน.-ภูมิใจไทย เป็นการ ‘ทดลอง’
เลขาธิการคณะก้าวหน้า ยอมรับเสียใจ กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญล้มเหลว ชี้เป็นการ “ทดลอง” ภายใต้ข้อจำกัดในระบบการเมือง
ชำแหละปิกนิกขอโทษประชาชน ขอเป็น ‘รัฐบาลพรรคเดียว’ ขอมากไปไหม
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ วิจารณ์ปิกนิกขอโทษประชาชนของพรรคประชาชน กรณีแก้รัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ ตั้งคำถามความเหมาะสมของการจัดกิจกรรมกั
โชคดีประเทศไทยที่ ‘พิธา’ ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
คำพูดของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ระบุว่า “ถ้าวันนั้นพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้สถานการณ์จะไม่มาถึงจุดนี้เด็ดขาด” ถูกก

