10 ก.ค. 2566 – ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า งานวิจัยล่าสุดชี้ว่าชนิดและจำนวนจุลินทรีย์ในลำไส้ของคนก่อนเกิดภาวะสมองเสื่อม “อัลไซเมอร์” มีความแตกต่างไปจากคนที่มีสุขภาพดี
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ใช้การตรวจรหัสพันธุกรรมจีโนมของจุลชีพด้วยตัวตรวจตามจำเพาะ (specific probes) เพื่อติดตามชนิดและปริมาณของกลุ่มจุลชีพสำคัญในลำไส้ของประชากรไทย 48 สายพันธุ์ เพื่อตรวจหาความไม่สมดุลระหว่างจุลินทรีย์ที่ ‘ดี’ และ ‘ไม่ดี’ ในลำไส้ (Dysbiosis) อันส่งผลต่อสุขภาวะของแต่ละบุคคล
ทีมวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยวอชิงตัน (Washington University School of Medicine) ในสหรัฐอเมริกา พบว่าบรรดาจุลชีพในลำไส้ของกลุ่มคนที่ตรวจพบสมองเสื่อมจากการสแกนสมองทั้งใน “กลุ่มที่ยังไม่แสดงอาการ”และ “กลุ่มที่แสดงอาการอัลไซเมอร์” มีชนิดและจำนวนของจุลินทรีย์แตกต่างจากกลุ่มบุคคลที่มีสุขภาพดี โดยตีพิมพ์ผลงานวิจัยในหัวข้อ “ชนิดและปริมาณของจุลินทรีย์ในลำไส้อาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงโรคอัลไซเมอร์ได้ก่อนแสดงอาการ (Gut microbiome composition may be an indicator of preclinical Alzheimer’s disease) ในวารสาร Science Translational Medicine (https://www.science.org/doi/10.1126/scitranslmed.abo2984)
โดยงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าในกลุ่มคนที่พบการเสื่อมของสมองในระยะแรกด้วยการสแกนสมองด้วยเทคโนโลยี PET และ MRI scan โดยที่ยังไม่มีอาการทางคลินิกของอาการเสื่อมทางสมองในด้าน ความจำ, ความสนใจ, การรับรู้, ภาษา และการแก้ไขปัญหาปรากฏขึ้น โดยพบว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีแบคทีเรียในลำไส้ที่แตกต่างกันเมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดีอย่างมีนัยสำคัญ
การค้นพบนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Science Translational Medicine เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2566 ชี้ให้เห็นถึงแสงสว่างปลายอุโมงค์ในการวินิจฉัยหรือการรักษาใหม่ๆ ที่มุ่งเป้าไปที่จุลินทรีย์ในลำไส้สำหรับโรคอัลไซเมอร์
นักวิจัยเสนอว่าอาจเป็นไปได้ที่จะระบุบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมโดยการวิเคราะห์ชุมชนจุลลินทรีย์หรือไมโครไบโอม(microbiome) ในลำไส้ของพวกเขา นอกจากนี้ยังสามารถเลือกใช้การรักษาที่มุ่งเป้าปรับเปลี่ยนไมโครไบโอม หรือการใช้ยาบางชนิดเพื่อป้องกัน ชะลอ หรือรักษาโรคอัลไซเมอร์ ก่อนที่จะมีอาการรุนแรงแก้ไขไม่ได้
อย่างไรก็ดีขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า “การเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพในสมอง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของไมโครไบโอมในลำไส้” หรือ “ไมโครไบโอมในลำไส้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพในสมอง อันก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์”
อนึ่งหากเป็นอย่างแรกคือการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพในสมอง ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของไมโครไบโอมในลำไส้ เราอาจสามารถใช้ชนิดและปริมาณของไมโครไบโอมในลำไส้เป็นตัวช่วยบ่งชี้การเกิดอัลไซเมอร์ก่อนแสดงอาการ และรักษาด้วยยาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
แต่หากไมโครไบโอมในลำไส้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพในสมอง เราสามารถพัฒนาการป้องกันโรคอัลไซเมอร์โดยการเปลี่ยนแปลงชนิดและจำนวนไมโครไบโอมในลำไส้ เช่น การรับประทานพรีไบโอติก (prebiotics) และ โปรไบโอติก (Probioitcs) ที่จำเพาะ
พรีไบโอติกเป็นไฟเบอร์ที่ย่อยไม่ได้ซึ่งทำหน้าที่เป็นอาหารของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ พรีไบโอติกส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีซึ่งสามารถปรับปรุงการย่อยอาหารและสุขภาพของลำไส้โดยรวม พรีไบโอติกพบได้ในอาหารบางชนิดและสามารถรับประทานได้จากอาหารเสริม
โปรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหากบริโภคในปริมาณที่เพียงพอ อันจะช่วยส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหารและปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ โปรไบโอติกสามารถปรับปรุงการย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร และสุขภาพของลำไส้โดยรวม โปรไบโอติกมีอยู่ในอาหารและอาหารเสริม และสายพันธุ์ทั่วไป ได้แก่ แลคโตบาซิลลัสและบิฟิโดแบคทีเรียม
ก่อนหน้านี้เป็นที่ทราบกันดีว่าไมโครไบโอมในลำไส้ของผู้ป่วยอัลไซเมอร์มีทั้งชนิดและปริมาณที่แตกต่างจากผู้ที่มีสุขภาพดี แต่ยังไม่มีการวิจัยสำรวจชนิดและปริมาณไมโครไบโอมใน “ระยะก่อนมีอาการอัลไซเมอร์”
ในช่วงระยะแรกของอัลไซเมอร์ ซึ่งอาจกินเวลาตั้งแต่สองทศวรรษขึ้นไป มีการสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์ เบตาและโปรตีนทาว (Tau) ในสมอง แต่ยังไม่มีสัญญาณของการเสื่อมของระบบประสาทหรือการรับรู้ที่ลดลง
นักวิจัยประเมินอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการ 164 คนที่มีสุขภาพดี; ประมาณหนึ่งในสาม (49) มีอาการสมองเสื่อมในระยะแรกที่ยังไม่แสดงอาการ โดยพบว่าแบคทีเรียในลำไส้ระหว่างคนที่มีสุขภาพดีและผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ระยะก่อนแสดงอาการ (พรีคลินิก) มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ความแตกต่างเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับระดับของโปรตีนแอมีลอยด์และโปรตีนทาว (Tau) แต่ยังไม่พบความเกี่ยวข้องกับการเสื่อมของระบบประสาท
การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของไมโครไบโอมในลำไส้ที่อาจใช้เป็นเครื่องมือคัดกรองโรคอัลไซเมอร์ระยะแรก โดยใช้ตัวอย่างเป็นอุจจาระที่เก็บได้ง่ายไม่ต้องเจาะเลือด
ทีมวิจัยวางแผนติดตามผลต่อไปอีก 5 ปี เพื่อพิจารณาว่าความแตกต่างของไมโครไบโอมในลำไส้เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคอัลไซเมอร์หรือเป็นผลมาจากโรคอัลไซเมอร์ระยะแรกส่งผลให้ไมโครไบโอมในลำไส้เปลี่ยนแปลงไป หากพบความเชื่อมโยงและเป็นสาเหตุของโรคอย่างมีนัยสำคัญ การรักษาในอนาคตอาจมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมแบคทีเรีย “ดี” หรือกำจัดแบคทีเรีย “ไม่ดี” ในลำไส้
ไมโครไบโอมหมายถึงจุลินทรีย์ทั้งหมด รวมถึงแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และโปรโตซัว ซึ่งอาศัยอยู่ภายในร่างกายมนุษย์ จุลินทรีย์เหล่านี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในลำไส้ มีความสำคัญต่อการรักษาสภาวะสมดุลและสุขภาพโดยรวม ไมโครไบโอมสามารถส่งผลต่อร่างกายและสุขภาพของคุณได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:
1.การย่อยอาหาร: ไมโครไบโอมในลำไส้ช่วยในการสลายสารประกอบในอาหารที่ซับซ้อนซึ่งเซลล์ของมนุษย์ไม่สามารถย่อยได้ เช่น เส้นใยบางชนิด พวกมันสามารถสลายสารเหล่านี้ให้เป็นกรดไขมันสายสั้น เช่น บิวทิเรต โพรพิโอเนต และอะซีเตต ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่เซลล์ของเราได้
2.การปรับระบบภูมิคุ้มกัน: ไมโครไบโอมมีบทบาทสำคัญในการสร้างและควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน ในการพัฒนาการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายของคุณแยกแยะระหว่างผู้บุกรุกที่ไม่เป็นอันตรายและอาจเป็นอันตรายได้
3.สุขภาพจิต: การวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่าไมโครไบโอมอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต การศึกษาบางชิ้นพบความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้กับภาวะสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า และความผิดปกติทางพัฒนาการทางระบบประสาท รวมถึงออทิสติก และอาจรวมถึงอาการอัลไซเมอร์
4.การควบคุมน้ำหนัก: องค์ประกอบของไมโครไบโอมในลำไส้มีความเชื่อมโยงกับน้ำหนักตัว โดยแบคทีเรียบางชนิดพบได้บ่อยในคนที่เป็นโรคอ้วนมากกว่าคนที่ไม่อ้วน การศึกษาบางชิ้นแนะนำว่าแบคทีเรียเหล่านี้อาจส่งผลต่อน้ำหนักโดยส่งผลต่อวิธีที่เราเผาผลาญอาหารและดูดซึมสารอาหาร
5.สุขภาพเมตาบอลิซึม: ไมโครไบโอมในลำไส้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคเมตาบอลิซึมหลายชนิด รวมถึงเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคไขมันพอกตับ การเปลี่ยนแปลงของไมโครไบโอมในลำไส้อาจส่งผลต่อการเผาผลาญของร่างกายและความไวของอินซูลิน
6.สุขภาพหัวใจ: ไมโครไบโอมในลำไส้สามารถส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยส่งผลต่อปัจจัยต่างๆ เช่น การอักเสบและระดับคอเลสเตอรอล แบคทีเรียในลำไส้บางชนิดสามารถผลิตสารที่ส่งผลต่อสุขภาพของหัวใจ เช่น TMAO (trimethylamine N-oxide) ซึ่งเชื่อมโยงกับหลอดเลือด
7.สุขภาพผิว: การวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่าไมโครไบโอมของผิวหนังมีบทบาทสำคัญในสภาวะต่างๆ เช่น สิว โรคสะเก็ดเงิน และโรคเรื้อนกวาง
ศูนย์จีโนมฯ เลือกตรวจกลุ่มแบคทีเรีย 48 สายพันธุ์ ด้วยเทคโนโลยี “Luminex” ในการวัดความไม่สมดุลของชุมชนจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ส่งผลต่อสุขภาวะ (Dysbiosis) อันก่อให้เกิดการเจ็บป่วยได้อย่างหลากหลาย โดยใช้เม็ดบีด (bead) เล็กๆ 100 ชนิดที่สามารถเรื่องแสงแตกต่างกันได้ถึง 100 เฉดสี โดยที่เม็ดบีดจะติดโมเลกุลพิเศษที่สามารถจับกับจีโนมของเชื้อจุลินทรีย์แต่ละชนิดในตัวอย่างได้อย่างจำเพาะ จากนั้นนำไปวัดการเรืองแสงด้วยเครื่องที่เรียกว่าโฟลไซโตมิเตอร์ที่สามารถอ่านเม็ดบีดเรืองแสงได้ถึง 100 เฉดสี และผลจากการวิเคราะห์เฉดสีจะช่วยบอกเราว่ามีเชื้อจุลินทรีย์อะไร มีปริมาณเท่าไรในตัวอย่างส่งตรวจได้อย่างถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อน เนื่องจากต้องนำผลการตรวจสอบมาเปรียบกับการตรวจในครั้งก่อนเป็นระยะ (monitoring) ในขณะที่หากใช้เทคโนโลยีการถอดรหัสพันธุกรรมขั้นสูง หรือ next generation sequencing/NGS จะมีความคลาดเคลื่อนสูงกว่า สังเกตจากการทดสอบตัวอย่างเดียวกันซ้ำด้วยเทคนิค NGS จะให้ผลของชนิดและจำนวนของจุลินทรีย์ที่คลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน (Multicenter quality assessment of 16S ribosomal DNA-sequencing for microbiome analyses reveals high inter-center variability https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/27052158/)
ดังนั้นการตรวจกลุ่มจุลินทรีย์ด้วยเทคโนโลยี Luminex จึงได้ใบรับรอง “CE-IVD” หรือ “Conformité Européenne – In Vitro Diagnostic Devices” ให้ใช้ได้กับตัวอย่างของคนปรกติหรือจากคนไข้ในโรงพยาบาลในยุโรปเพื่อตรวจสอบสภาวะ “Dysbiosis”
Dysbiosis หมายถึงความไม่สมดุลตามธรรมชาติของชุมชนจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมหนึ่งๆ ซึ่งใช้กันมากที่สุดในการอ้างอิงถึงจุลินทรีย์ในลำไส้
จุลินทรีย์ในลำไส้ประกอบด้วยจุลินทรีย์นับล้านล้านตัว รวมถึงแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหารและมีบทบาทสำคัญในการย่อยอาหาร การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพโดยรวม
Dysbiosis อาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่ดี ความเครียด ขาดการออกกำลังกาย การใช้ยาปฏิชีวนะ และอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
ความไม่สมดุลนี้อาจนำไปสู่การลดลงของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และการเพิ่มขึ้นของจุลินทรีย์ที่อาจเป็นอันตราย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆ ปัญหาสุขภาพบางอย่างเหล่านี้ ได้แก่ โรคลำไส้อักเสบ (IBD) โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) โรคอ้วน โรคเมตาบอลิซึม และแม้แต่ความผิดปกติทางสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า รวมถึง “อัลไซเมอร์”
การฟื้นฟูจุลินทรีย์ในลำไส้ให้สมดุลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาสุขภาพโดยรวม ซึ่งสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต (ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม) ซึ่งรวมถึงอาหารเพื่อสุขภาพที่อุดมด้วยไฟเบอร์ การออกกำลังกายเป็นประจำ การจัดการความเครียด และการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม ในบางกรณี โปรไบโอติกและพรีไบโอติกอาจมีประโยชน์ในการส่งเสริมสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ศูนย์จีโนมฯ ชี้อย่าเพิ่งเชื่อการพบลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดศพจากการฉีดวัคซีนโควิด-19
เพจ Center for Medical Genomics ของศูนย์จีโนมทางการแพทย์
ศูนย์จีโนมฯ แนะนำ JN.1.4 โอมิครอนตัวล่าสุดที่จะมาแทนที่ JN.1
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์เปิด 13 คุณสมบัติที่ควรรู้ของโอมิครอนรุ่นลูก!
เพจศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
'หมอธีระวัฒน์' ปลุก สว. เลิก 'เนือยนิ่ง ทอดหุ่ย'
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สว. เนือยนิ่ง ทอดหุ่ย กับสมองเสื่อม
ศูนย์จีโนมฯ อัปเดตผลทดลอง 'วัคซีนโควิด' รุ่นล่าสุด 'XBB.1.5 โมโนวาเลนต์'
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า องค์การอนามัยโลกระบุวัคซีนโควิด-19 เจนเนอเรชั่นล่าสุด “XBB.1.5 โมโนวาเลนต์”