คอกาแฟต้องรู้! ’หมอธีระวัฒน์’ บอกกาแฟกลายกลับเป็นดี

14 พ.ค.2566-ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่อง “กาแฟกลายกลับเป็นดี” ระบุว่า สมัยก่อนนั้น เราได้รับการฝังหัวฝังใจกันมานานว่า กาแฟมีโทษมหันต์ แต่ระยะต่อมากลับเริ่มเห็นประโยชน์

หมอเองเป็นผู้ติดกาแฟชนิดต้องมีคาฟีอิน และดื่มวันละ 3-4 ถ้วย โดยไม่ต้องใส่น้ำตาล นม ให้เสียเวลา (ทั้งนี้เริ่มตั้งแต่เป็นนักเรียนอยู่หอ กินกาแฟดำเลยง่ายดี) ก็เลยอ่านหาข้อมูลไปเรื่อยๆ กลับไม่พบว่ากาแฟเลวร้ายขนาดนั้น และเรื่องหัวใจ ผู้ดื่มกาแฟย่อมเข้าใจดีว่า กาแฟมีตัวเตือนอัตโนมัติว่า ขณะนี้ดื่มมากไปแล้ว ได้แก่เริ่มใจสั่น มือสั่น เป็นสัญญาณ จะแย่ก็ตรงที่ว่าถ้าตื่นนอนแล้วกาแฟหมดบ้านจะเริ่มเป็นหุ่นยนต์ สมองช้าเชื่องคิดไม่ค่อยออก แต่ที่มีโทษจริงๆ ก็คือผู้หญิงท้องในช่วง 3 เดือนแรก ถ้าดื่มกาแฟที่มีคาฟีอินมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อวันขึ้นไปมีโอกาสแท้งได้สูง (วารสารนิวอิงแลนด์ ปี 2000)

คนที่มีปวดหัวไมเกรน หมอก็ยังแนะนำให้ดื่มกาแฟพร้อมกับยาแก้ปวด เพราะขณะปวดไมเกรน ลำไส้ กระเพาะอาหารจะเคลื่อนไหวช้า ทำให้การดูดซึมของยาช้าลงไปด้วย กาแฟจะทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ราบรื่น และยาจะได้ออกฤทธิ์ทัน รายงานการศึกษาในวารสารนิงอิงแลนด์ ตั้งแต่ ปี 2012 โดยคณะผู้วิจัยได้รับทุนจากสถาบันสาธารณสุข (NIH) และสถาบันมะเร็งสหรัฐ โดยที่เจาะประเด็นว่าการดื่มกาแฟจะมีความเสี่ยงทำให้เสียชีวิตสูงกว่าปกติหรือไม่  

โดยศึกษาในผู้ชาย 229,119 คน ผู้หญิง 173,141 คน ที่มีอายุระหว่าง 50 ถึง 71 ปี โดยผู้เข้าร่วมการศึกษาจะต้องไม่มีโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ และมะเร็งมาก่อน  ทั้งนี้จากการติดตามตั้งแต่ปี คศ.1995 ถึง 2008 มีผู้ชายเสียชีวิต 33,731 ราย ผู้หญิง 18,784 ราย และเมื่อตัดผู้ที่ดื่มกาแฟและสูบบุหรี่ไปด้วยกันออกไป เนื่องจากบุหรี่เป็นตัวร้ายสุดของโรคเส้นเลือด หัวใจ สมอง มะเร็ง และอื่นๆ  ผลปรากฏว่า คนดื่มกาแฟกลับมีการตายน้อยกว่า สำหรับโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ ทางระบบทางเดินหายใจ อัมพฤกษ์ เบาหวาน อุบัติเหตุ การติดเชื้อ แต่สำหรับมะเร็งนั้นตายพอกัน และเป็นที่น่าแปลกใจตรงที่ว่าพวกชอบดื่มกาแฟ ตั้งแต่ 1 ถ้วย มากจนไปถึงกว่าวันละ 6 ถ้วย จะเป็นพวกชอบปล่อยเนื้อปล่อยตัว และดื่มเหล้ามากกว่า 3 แก้วต่อวัน เป็นจำนวน 10-13 % ในกลุ่มชายชอบกาแฟ และ 2-3 % ในหญิงชอบกาแฟ ทั้งหญิงและชายชอบกาแฟจะมีประมาณ 16-20% เท่านั้น ที่ออกกำลังเป็นล่ำเป็นสันมากกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์ และบริโภคผักและผลไม้ วันละแค่ 1-2 ครั้ง รวมทั้งชอบกินเนื้อแดง ซึ่งถือเป็นของไม่ดีต่อสุขภาพ ต่างจากคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลย ซึ่งเคร่งครัดมากกว่า

* แต่อย่างไรก็ดี “ห้ามเห็นดีเห็นงาม” ไปว่าไม่ต้องออกกำลัง ปล่อยตัวไม่กินผัก ผลไม้ กินแต่กาแฟจะไม่ตาย เพราะรายงานหลังจากนี้ ถึงแม้ว่าจะตอกย้ำประโยชน์ของกาแฟก็ตามแต่ ถ้าปฏิบัติตัวไม่ดีก็จะได้ประโยชน์ไม่เต็มที่ ปรากฎการณ์ที่แปลกใน กลุ่มชอบกาแฟที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตน้อยกว่าก็คือ การที่จะเห็นความสัมพันธ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าดื่มมากขึ้นจนถึง 6 ถ้วย หรือกว่านั้น และที่น่าดีใจสำหรับผู้ชอบกลิ่นและรสกาแฟ แต่รังเกียจหรือกลัวคาฟีอิน ปรากฏว่าคนดื่ม ดี-แคฟ (Decaffeinated) ก็ตายน้อยกว่าเช่นกัน  * อย่างไรก็ตาม ผลของการศึกษานี้เป็นในลักษณะเชิงระบาดวิทยาการสังเกตุ ซึ่งมีการติดตามระยะยาว แต่ไม่อาจระบุว่า กาแฟมีผลในการป้องกันโรคต่างๆ ที่กล่าวมาโดยตรง แม้ว่ากาแฟจะไม่ได้มีแต่คาฟีอินอย่างเดียว แต่ยังมีสารต่างๆที่มีประโยชน์อื่นๆอยู่ด้วย หรือเป็นเพียงปรากฎการณ์ร่วมเท่านั้น

ถึงตรงนี้ คนชอบกาแฟรวมทั้งหมออีกคน คงดื่มกาแฟได้ด้วยความสบายใจ โดยไม่ต้องกลัวว่า กาแฟจะทำให้เสี่ยงต่อโรคภัยมากขึ้น และมีโอกาสตายเร็วก่อนกำหนด  อีกประการ จากบทเรียนของกาแฟ น่าจะโยงไปถึงการให้ความรู้แก่ประชาชน

โดยที่ผ่านมาเราจะใช้ความรู้สึกรังเกียจ เห็นแต่โทษ เชื่อสิ่งที่พูดกันมาลอยๆ เช่นเราเห็นแต่ห้ามดื่ม ห้ามสูบตามโทรทัศน์ ป้ายตามถนนหนทาง มีรูปน่าเกลียด น่ากลัว แต่กลับไม่มีใครกลัว แม้แต่รูปที่ซองบุหรี่

คงต้องวางแผนระยะยาวซึ่งต้องทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้ คือพูดตามความจริง โทษ และ ประโยชน์ จะมีโทษด้วยกลไกอะไร ที่ปริมาณใด ประโยชน์มีแค่ไหน ด้วย กลไกใด ในระยะเวลาที่สัมผัสนานเท่าใดหรือ “แท้จริง ไม่มีเลย” วันดีคืนดีเด็กเริ่มโต ทั้งดื่มและสูบ โดยไม่มีภูมิคุ้มกันทางความรู้มาก่อน สุราและบุหรี่มีผลต่อสมองความสุข เหมือนการได้รับรางวัล ถ้าไม่มีสมองส่วนยั้งคิด ห้ามปรามเป็นทุนเดิม ก็จะยั้งไม่อยู่ เมื่อโตขึ้นดูแต่ป้ายห้ามอย่างเดียว โดยไม่มีเหตุไม่มีผล ที่ ซึมซับมาตั้งแต่ต้น น่าจะไม่ได้มีประโยชน์เต็มที่ ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าโครงการนโยบายต่างๆไม่ดีเพียงแต่ว่าอาจจะต้องเริ่มสอดแทรกความรู้ความเข้าใจแบบไม่ต้องท่องจำตั้งแต่เข้าเรียนแต่เด็กเลย คุณตำรวจทั้งหลายที่ตั้งด่านดักจับคนดื่มเหล้า น่าตั้งด่านตั้งแต่หน้าแหล่งดื่มทั้งหลาย ก่อนจะออกมาถึงท้องถนน

สำหรับเจ้าของร้านเองก็ต้องมีหน้าที่ ห้ามลูกค้าที่สติถูกครอบครองด้วยฤทธิ์สุรา ห้ามขับรถกลับ  ทางที่ดีเจ้าของร้านน่าจะหาที่เป่ามาให้ลูกค้าตรวจสอบตนเองก่อนออกจากร้านทุกคน และมีหน้าที่เรียกรถแท็กซี่ส่งลูกค้ากลับบ้านให้เป็นเรื่องเป็นราว

จะห้ามดื่มเด็ดขาดตลอดชีวิต อาจเป็นไปไม่ได้ทั้งหมดทุกคน สำหรับบุหรี่ต่อรองไม่ได้เด็ดขาด ต้องปูพื้นความรู้แต่เล็ก ตลอดเวลา ที่สูบคงต้องหยุดเด็ดขาด เพราะหาประโยชน์อะไรไม่ได้ แม้แต่อย่างเดียว แถมส่งความตายให้คนรอบข้าง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'หมอธีระวัฒน์' แจง 5 ข้อ พูดเรื่องผลกระทบการวัคซีนโควิดทำไม ในเมื่อมันผ่านไปแล้ว

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง 'ลิ่มเลือดสีขาว' ไม่เกี่ยวฉีดวัคซีนโควิด

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่อง ลิ่มเลือดสีขาว (White clot) และวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA จากกรณีที่มีการเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับการพบสิ่งแปลกปลอมซึ่งมีลักษณะเป็นลิ่มเลือดสีขาว (White clot) ในหลอดเลือดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19

'หมอธีระวัฒน์' เลิกพูดถึงเรื่อง 'white clot' แต่ยังให้ความสำคัญกับผลกระทบของวัคซีน

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก

'หมอธีระวัฒน์' เปิดรายงานใช้วัคซีนโควิด ส่งผลเส้นเลือดตัน-แตก กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ เกิดอะไรขึ้นเมื่อมีการใช้วัคซีนโควิด มีเนื้อหาดังนี้

‘หมอธีระวัฒน์’ อธิบายชัด ‘โควิด-วัคซีน’ ผลกระทบแบบยาว

โควิดนี้มีได้แบบชนิดตอนเดียวจบ คือแบบสั้น ติดเชื้อแบบไม่มีอาการแพร่ไปให้คนอื่นเสร็จแล้วเชื้อก็หายไปจากตัวหรือติดเชื้อและเกิดอาการเบา กลาง หนัก จนถึงเสียชีวิต

อาจารย์หมอ ย้ำชัดเป็นสมองเสื่อม รู้เร็วป้องกันชะลอไม่ให้ลุกลามได้

สมองเสื่อมมีหลายยี่ห้อแล้วแต่ชนิดของโปรตีนพิษบิดเกลียว ที่จะมีทางวิ่งไปยังสมองส่วนต่างๆไม่เหมือนกัน ดังนั้นทำให้อาการที่ปรากฏขึ้นนั้น มีความผิดแผกแตกต่างกันได้ แต่ทั้งนี้ กลไกการเกิดและการทำลายสมองนั้นใกล้เคียงหรือเหมือนกัน