ย้อนรอย7ปีสตาร์ทอัพไทย ส่องอนาคตแววรุ่งปี67

ประเทศไทยมีความเคลื่อนไหวในธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงปี 2559 จนถึงปี 2567  บางรายประสบความสำเร็จระดับการเกิดยูนิคอร์น การเกิดธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ และส่งเสริมภาพลักษณ์การลงทุนดึงดูดทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าร่วมทำธุรกิจมากขึ้น  และธุรกิจสตาร์ทอัพ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ให้การส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพตั้งแต่แรกเริ่ม

ย้อนรอยเส้นทางสตาร์ทอัพ จากเมื่อปี 2559   ที่ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยเริ่มก่อตัวขึ้น จากการมีจำนวนสตาร์ทอัพเพียงไม่กี่ราย และมีหน่วยงานให้การสนับสนุนด้านการลงทุนเฉพาะกลุ่ม จำกัดแค่บางอุตสาหกรรมเท่านั้น  โดยสตาร์ทอัพเริ่มมีกระแสในช่วงปี 2560  โดยกรุงเทพฯ ถูกจัดให้เป็นเมืองสตาร์ทอัพที่ดีที่สุด ต่อมาปี 2561 มีจำนวนสตาร์ทอัพเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1,500 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม Fintech และ Lifestyle เป็นหลัก ปี 2562  ธุรกิจ Pomelo ได้รับการลงทุน Series C ด้วยมูลค่า 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจุดประกายและช่วยยืนยันว่าสตาร์ทอัพไทยมีความพร้อมที่จะเติบโตไปได้อีกขั้น

ขณะที่ปี 2563 การระบาดของโควิด – 19 เป็นตัวแปรให้ Tech Startup เติบโตในหลายสาย ไม่ว่าจะเป็นภาคการขนส่ง เดลิเวอรี่ การแพทย์ อีคอมเมิร์ซ เกษตร ถัดมาปี 2564  ไทยมียูนิคอร์นที่เกิดขึ้นถึง 2 ราย คือ Flash Express และ Ascend Money ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนในตลาดถึง 310.58 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในปี 2565  เริ่มมีการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีเชิงลึกมากขึ้น ภาครัฐออกหลักเกณฑ์และกฎหมายอำนวยความสะดวกให้การประกอบธุรกิจของสตาร์ทอัพมีมากขึ้น ภาคการศึกษามีโครงการบ่มเพาะและการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมให้เกิดสตาร์ทอัพหน้าใหม่ รวมถึงกรุงเทพฯ ยังเป็นพื้นที่ดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาจัดตั้งธุรกิจ จนมี Digital Nomad สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ส่งผลให้ตลาดสตาร์ทอัพไทยคึกคักอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยขยายใหญ่ขึ้นและมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในปี 2566 ถือเป็นปีที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยสามารถคว้าอันดับที่ 52 ของโลกในการจัดอันดับ Global Startup Ecosystem Index โดย Startupblink ซึ่งมี 3 ประเด็นที่โดดเด่น ได้แก่

ระบบนิเวศสตาร์ทอัพ

ประเด็นแรกการเพิ่มจำนวนของ University Holding Company หรือหน่วยธุรกิจที่เกิดขึ้นจากสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคการศึกษาของไทย มีการขานรับในการส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อต่อยอดนำผลงานออกไปจัดตั้งบริษัท   เช่น มีการเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรม การเร่งสร้างผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทให้ได้จำนวน 1,000 บริษัท และการสร้าง 5 บริษัทผู้ประกอบการไทยที่จะมีขีดความสามารถในการแข่งขันไปถึงระดับโลก นอกจากนี้ยังเห็นการเพิ่มหลักสูตรบ่มเพาะความเป็นผู้ประกอบการขึ้นมาตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัย มุ่งเน้นขยายการเติบโตไปสู่เชิงพาณิชย์ รวมถึงยังมีคอร์สพิเศษสำหรับผู้สนใจแสวงหาความรู้  

ประเด็นต่อมาคือการเปลี่ยนแปลงสตาร์ทอัพในรูปแบบธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกหรือ “DeepTech” ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 65 บริษัทภายในเวลา 3 ปี และเกิดการรวมกลุ่มเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในการส่งเสริมและเป็นตัวกลางเชื่อมโยงผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศทั้งหมดรวมถึง ความร่วมมือในการจัดผังกลุ่มเครือข่าย (Mapping) ที่ชัดเจน เพื่อเป็นภาพรวมให้นักลงทุนเห็นโอกาสการเข้ามาสนับสนุนอีกด้วย

และประเด็นสุดท้าย คือการขยายขนาด ปรับความคิดเพื่อแสวงหาโอกาสจากตลาดต่างประเทศ โดยตอนนี้ สตาร์ทอัพไทยสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ภาครัฐได้ลงทุนไว้ ไม่ว่าจะเป็น Co-Working Space หรือเครื่องมือสำหรับทำงานวิจัยในมหาวิทยาลัย

ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายและมาตรการภาครัฐเพื่อส่งเสริมสตาร์ทอัพ NIA ได้มีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (พรบ. สตาร์ทอัพ) ตั้งแต่ปี2559 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อเสนอร่าง พรบ. เข้าสู่สภาฯ ต่อไป



ที่มาของ “พ.ร.บ. สตาร์ทอัพ” เกิดจากมุมมองว่าแม้ปัจจุบันธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่กฎหมายที่ใช้อยู่ยังมีข้อจำกัดบางประการ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโต  ทำให้สตาร์ทอัพไทยหลายแห่งเลือกจัดตั้งธุรกิจจากต่างประเทศ ที่มีกฎหมายเอื้อต่อการประกอบธุรกิจมากกว่า และมีกฎหมายเฉพาะสำหรับสตาร์ทอัพ

ขณะนี้  ร่างพ.ร.บ. สตาร์ทอัพ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สาระสำคัญตามที่ NAI เสนออยู่ภายใต้หลักการสำคัญ 3 ข้อ คือ 1) เน้นการปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการบริหารจัดการองค์กรธุรกิจและการระดมทุนก่อน แล้วจึงขยายสู่การปรับปรุงกฎหมายในประเด็นที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพต่อไป 2) ร่างกฎหมายที่จะเสนอจะต้องไม่สร้างคณะกรรมการหรือหน่วยงานขึ้นใหม่ จึงได้กำหนดให้ NIA เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลสตาร์ทอัพตั้งแต่ต้น และกำหนดกลไกให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกันส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ และ 3) กำหนดลักษณะหรือนิยามของธุรกิจสตาร์ทอัพที่จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายให้กว้างขวาง และอาจนำระบบการขึ้นทะเบียนอย่างง่ายหรือการให้ธุรกิจสตาร์ทอัพรับรองตนเองที่มีการใช้ในต่างประเทศมาปรับใช้เพื่อลดภาระในการปฏิบัติตามกฎหมายหรือการขอรับการส่งเสริมของผู้ประกอบการ

ในปี 2567 NIA มองเทรนด์สตาร์ทอัพไทยทีจะรุ่ง ได้แก่ Climate Tech – เทคโนโลยีเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  เพื่อรองรับเป้าหมายประเทศไทยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 40 ภายในปี 2573  ซึ่งจุดความตื่นตัวหาเทคโนโลยีมาช่วย เช่น การมองหาพลังงานทางเลือกที่สะอาดและหมุนเวียนได้ ควบคู่กับความก้าวหน้าในการกักเก็บพลังงาน การพัฒนาเทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน   ซึ่งจะมีทั้งผู้เล่นรายใหม่อย่างสตาร์ทอัพ และผู้เล่นรายใหญ่ เข้ามาวงจรธุรกิจนี้

ต่อมาคือ EV Tech – เทคโนโลยีเพื่อตอบกระแสยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งประเทศไทยมีเป้าหมายผลิตยานยนต์ไฟฟ้าร้อยละ 30 ของปริมาณการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานในการอัดประจุไฟฟ้าของแบตเตอร์รี่ และแพลตฟอร์มใช้บริการร่วมกัน ที่ใช้ร่วมกันได้อย่างสะดวก  จะทำให้ธุรกิจรถอีวีเติบโตได้อีกมาก

กรุงเทพเมืองสตาร์ทอัพ ติดอันดับโลก

สุดท้ายคือ Creative Tech – เทคโนโลยีสร้างสรรค์ กำลังเข้ามาเปลี่ยนโฉมภูมิทัศน์ด้านศิลปะ วัฒนธรรม การออกแบบ และความบันเทิงในสังคมไทย ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล  ปัจจุบันมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่หลากหลาย เช่น เทคโนโลยีความเป็นจริงต่อขยาย (XR) ระบบชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มออนไลน์ การบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้น เทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านี้เข้ามามีบทบาทกับกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์  มีผลทั้งด้านการท่องเที่ยว สื่อดิจิทัล ภาพยนตร์ แฟชั่น เกมและแอนิเมชั่น ซึ่งประเทศไทยมุ่งผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อเชื่อมโยงความเป็นไทยสู่สากลและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จับมือสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ลงนาม MOU ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยผ่านนวัตกรรมสร้างสรรค์

เมื่อเวลา 11.00 น. ของเมื่อวานนี้ (10 ก.ย.68) ที่สุราลัย ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม เขตคลองสาน กทม. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA

นำ “ไทย” สู่ชาตินวัตกรรม! NIA ผนึกพันธมิตรขับเคลื่อน “Thailand Innovation Hub”

เมื่อวันที่ 28 ส.ค.สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว “Thailand Innovation Hub” เพื่อเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมประเทศไทย

NIA - อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออก มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดรับสมัครสตาร์ทอัพ-เอสเอ็มอีด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ร่วมบ่มเพาะและทดลองตลาด สร้างนวัตกรรมสู่โรงงานอัจฉริยะ

เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) เปิดเผยว่า NIA ร่วมกับ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออก มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ (Startup), เอสเอ็มอี (SME)

SITE 2025 เปิดเวที ‘Making It Work’ แชร์กลยุทธ์สร้าง AI อย่างได้ผล ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ใช่สำหรับธุรกิจไทย

บนเวทีเสวนา “Making It Work – How Businesses Build on AI Infrastructure” ภายในงาน Startup x Innovation Thailand Expo 2025 (SITE 2025) จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติหรือ NIA ที่พารากอน ฮอลล์