โอกาสเป็น  Wellness ระดับโลกของไทย  

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคปัจจุบัน เทรนด์การดูแลสุขภาพ หรือ เวลเนส (Wellness) กำลังเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด  ที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การเลือกทานอาหารเพื่อสุขภาพ และการให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลในชีวิตประจำวัน (Work-life balance) ในขณะเดียวกัน การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ เทรนด์การดูแลสุขภาพเติบโตในทิศทางใด พบว่าเมื่อคนเราอายุขัยเพิ่มสูงขึ้น ทำให้คนส่วนใหญ่ จึงอยากมีสุขภาพดีจนวันสุดท้ายของชีวิต ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ช่วยยืดอายุขัยของมนุษย์ (Lifespan) ให้ยืนยาวขึ้นกว่าในอดีต โดยในช่วงระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 – 2562 อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลกเพิ่มขึ้นจาก 66.8 ปี เป็น 73.4 ปี หรือเพิ่มขึ้นมากถึง 6.6 ปี แต่ในขณะเดียวกัน อายุขัยสุขภาพ (Health Span) หรือระยะเวลาที่ร่างกายและจิตใจยังคงสมบูรณ์แข็งแรง กลับเฉลี่ยอยู่ที่ 63.7 ปีเท่านั้น กล่าวคือ  มนุษย์ส่วนใหญ่จะต้องเผชิญกับอาการเจ็บป่วยหรือความเสื่อมของร่างกายเกือบ 10 ปีก่อนที่จะเสียชีวิต

ส่วนประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่ช่วงสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ซึ่งเป็นสภาวะที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% จึงทำให้คนรุ่นใหม่หันมาตระหนักเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการป้องกันก่อนเกิดโรค  หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนทั่วโลก รวมถึงประชากรชาวไทยหันมาใส่ใจสุขภาพ คืออัตราการเกิดโรค Non-Communicable Disease (NCDs) หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยในปี  พ.ศ.2565 ตัวเลขของผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทยมีจำนวนสูงถึง 380,400 คนต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 44 คน หรือคิดเป็น 77% ของประชากรไทยทั้งหมด

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ คุณหมอแอมป์ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือโรค NCDs อย่างโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดสมองตีบ/แตก โรคมะเร็ง และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ ไม่เพียงแค่สร้างความทุกข์ทรมานทั้งทางกายและทางใจจากอาการเจ็บป่วยให้กับผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตเมื่อเกิดเหตุการณ์โรคระบาดอีกด้วย เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แสดงถึงผลกระทบที่เกิดจากโรค NCDs อย่างชัดเจน โดยผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตมากกว่าคนที่มีสุขภาพดีถึง 2 เท่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงถึง 3 เท่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เสี่ยงมากถึง 4 เท่า และผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด โดยมีความเสี่ยงเสียชีวิตมากถึง 7 เท่า

“ปัญหาโรคอ้วนจึงไม่ใช่แค่เรื่องของภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ปัจจุบันประชากรชาวไทยกำลังเผชิญกับปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินสูงถึง 48.3% การหันมาดูแลสุขภาพและควบคุมโรคอ้วนจึงกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนควรหันมาให้ความสำคัญมากขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต” นายแพทย์ตนุพล กล่าว

ผลการวิจัยจาก Global Wellness Institute (GWI) เผยว่าในปี พ.ศ. 2566 ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพมีมูลค่าสูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในปี พ.ศ.2571 มีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.3% สูงกว่า GDP โลกซึ่งอยู่ที่ 4.8%

ทั้งนี้ภาคธุรกิจในกลุ่ม Wellness ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ Wellness Real Estate (เติบโตเฉลี่ย 15.8%) Mental Wellness (12.2%) และ Wellness Tourism (10.2%) ซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 10% สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่ใส่ใจทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตและการผสมผสานการดูแลสุขภาพเข้าสู่ชีวิตประจำวันรวมถึงการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ตัวเลขดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น จนทำให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการตอบรับเทรนด์นี้อย่างรวดเร็ว

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Tourism คือการท่องเที่ยวที่มากกว่าการไปเยี่ยมเยียนสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เพราะเป็นการท่องเที่ยวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสริมสุขภาพแบบองค์รวม ตั้งแต่สุขภาพกาย สุขภาพใจ รวมถึงส่งเสริมจิตวิญญาณ  จากข้อมูลของ Global Wellness Institute (GWI) ซึ่งเริ่มเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพตั้งแต่ปี        พ.ศ.2555 พบว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2562 มูลค่าตลาดของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตสูงถึง 6.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเติบโตเร็วกว่าผลรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวมถึง 50% ก่อนที่การท่องเที่ยวจะหยุดชะงักลงจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด 19 ในปี พ.ศ. 2563 และเมื่อมีการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทาง การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้กลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยในคราวนี้มูลค่าตลาดพุ่งขึ้นไปสูงถึง 8.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2566 และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 10.2% ต่อปี โดยมีมูลค่าสูงถึง 1.35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2571

ในส่วนของประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างปรารถนาที่จะมาเยี่ยมเยียน ด้วยศักยภาพด้านทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อาหารที่หลากหลายและสมุนไพรเมืองร้อน การให้บริการที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของความเป็นไทย การแพทย์แผนไทยที่เป็นเอกลักษณ์ ตลอดจนเทคโนโลยีด้านการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งช่วยผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก

ขนาดของธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยในปี พ.ศ.2566 มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่ 15 ของโลก ทั้งนี้ประเทศไทยเคยขึ้นสู่อันดับสูงสุดที่อันดับ 7 ก่อนที่สถานการณ์โควิด-19 จะเกิดขึ้นในปลายปีพ.ศ.2562 ด้วยมูลค่าตลาด 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ มากกว่า 6.1 แสนล้านบาท ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

เทรนด์ Preventive Medicine ที่มาพร้อมกับการดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล เป็นเทรนด์ของโลกในการดูแลสุขภาพ  ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีการวิจัยรองรับ หรือที่เรียกว่า Scientific Wellness มายกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้สุขภาพดีขึ้น ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์นำไปสู่การเติบโตของการแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Medicine) และการดูแลสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) เพื่อเป้าหมายของการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมการแพทย์เวชศาสตร์ป้องกันให้เกิดขึ้นจริงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงช่วย “ออกแบบ” การดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลหรือที่เราเรียกว่า “การแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine)” โดยนำผลจากการตรวจเลือด หรือการตรวจหาภาวะความผิดปกติในระดับเซลล์และระดับพันธุกรรม การขาดวิตามิน และแร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และความสมดุลของฮอร์โมนของแต่ละบุคคลมาประเมินความเสี่ยงและทำนายการเกิดโรค เพื่อวางแผนปรับไลฟ์สไตล์ให้เข้ากับผู้รับบริการแต่ละบุคคลให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

นอกจากนี้ การแพทย์เฉพาะบุคคล ยังถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากข้อมูลสุขภาพที่ได้จากการตรวจสุขภาพในระดับเซลล์ จะเป็นเหมือนเครื่องมือชี้วัดสุขภาพให้คนกลับมาประเมินซ้ำ เพื่อเป้าหมายการมีสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน ดังนั้น ความก้าวหน้าในด้านการแพทย์เฉพาะบุคคล จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยต่อยอดธุรกิจการท่องเที่ยวสุขภาพของแต่ละประเทศให้เติบโตขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ไม่เพียงติดท็อป 15 ของโลกในด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเติบโตของธุรกิจสปา ที่ถูกจัดอันดับขนาดธุรกิจอยู่ในที่ 16 ของโลก ธุรกิจการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่โตเป็นอันดับที่ 18 ของโลก ธุรกิจอาหารสุขภาพและการลดน้ำหนักที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก และธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ให้กับผู้คนทั่วโลก

ทางด้าน   BDMS Wellness Clinic นายแพทย์ตนุพล กล่าวว่า ได้มองเห็นศักยภาพการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ จึงมุ่งมั่นผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Ignite Thailand ของรัฐบาลในการผลักดันประเทศให้เป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพระดับสากล หรือ BDMS Wellness Clinic มุ่งมั่นที่จะเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Destination of the World  โดยเราได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ทั้งในด้านธรรมชาติ วัฒนธรรม อาหาร สมุนไพร การบริการอันเปี่ยมไปด้วยความเป็นไทย และการแพทย์แผนไทย ผสมผสานกับเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย  ซึ่งหล่อหลอมให้ประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในประเทศที่พร้อมนำเสนอบริการสุขภาพแบบองค์รวมให้กับผู้คนทั่วโลก โดยเราตั้งเป้าว่าประเทศไทยจะติด Top 5 ของโลก เป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ผู้คนทั่วโลกต้องการที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากที่สุด

“อย่างไรก็ตาม การจะผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้นั้น เราต้องทำงานร่วมกันเป็น #TeamThailand โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ ชุมชน รวมถึงประชาชนในประเทศ ในการร่วมสร้างประเทศให้น่าดึงดูดให้คนทั่วโลกเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศของเรา เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเป็น Wellness Hub ของโลกในที่สุด” นายแพทย์ตนุพล กล่าว

เพิ่มเพื่อน