
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามระดับโลก นอกจากก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติถี่และรุนแรงมากขึ้นแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง ทำให้เกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาว โดยเฉพาะเมื่อปี 2567 เกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่สร้างความเสียหายมาก ขณะที่กิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำจากผู้ประกอบการที่ขาดจิตสำนึกก่อให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการังอย่างต่อเนื่องเป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งหามาตรการป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ
ในประเทศไทยมีพื้นทื่แนวปะการังเกือบ 1.5 แสนไร่ ล่าสุดข้อมูลกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เกี่ยวกับสถานภาพปะการังในประเทศไทยในปี 2567 และในปี 2568 มีการติดตามสำรวจสถานภาพปะการังภายหลังเกิดการฟอกขาว ในปี 2567 พื้นที่ทำการสำรวจกว่า 103,122 ไร่ หรือประมาณ 48.45% ของพื้นที่ทั้งหมด พบพื้นที่ปะการังที่มีชีวิต 50,765.1 ไร่ สภาพปะการัง สมบูรณ์ดี – สมบูรณ์ดีมาก 53% สมบูรณ์ปานกลาง 23% สถานภาพเสียหาย – เสียหายมาก 24% ข้อมูลหลังการฟอกขาว ในปี 2568 (ณ เมษายน) ทช. สำรวจไปแล้ว 79 สถานี พื้นที่ปะการังมีชีวิตพบประมาณ 11,658 ไร่ (45% ของพื้นที่แนวปะการังที่ทำการสำรวจ) โดยจะดำเนินการสำรวจและศึกษาสถานภาพแนวปะการัง เพื่อวางแผนการจัดการและอนุรักษ์อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการฟื้นฟูพื้นที่ที่เสื่อมโทรม

หนึ่งในพื้นที่เสียหายหนักจากภาวะฟอกขาว คือ แนวปะการังหมู่เกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช จากการสำรวจบริเวณที่ระดับความลึก 5 – 15 เมตร ระหว่างวันที่ 20 – 24 เม.ย. 2568 พบว่าแนวปะการังอยู่ในสภาพเสียหายมากจากภาวะฟอกขาวปีที่แล้ว ส่วนอุณหภูมิน้ำทะเลอยู่ที่ 30.5 องศาเซลเซียส ความเค็ม 32 พีพีที โดยเฉพาะปะการังเขากวาง ซึ่งเป็นกลุ่มเด่นในพื้นที่ พบตายไปมากกว่า 80% และมีสาหร่ายสีน้ำตาลสกุล Lobophora sp. ปกคลุมบนซากปะการัง
แต่ยังพบปะการังชนิดอื่นที่ยังมีชีวิต เช่น ปะการังโขด ปะการังดอกกะหล่ำ ปะการังสมอง ปะการังลายดอกไม้ ปะการังจาน และปะการังดอกเห็ด รวมถึงตัวอ่อนปะการังจานที่เริ่มกลับมาเติบโต ในพื้นที่ยังคงพบปลาสลิดหินคอดำ เม่นทะเล และเต่าตนุ 1-2 ตัวต่อพื้นที่ 250 ตารางเมตร ว่ายน้ำหาอาหารและจับคู่ผสมพันธุ์ แต่ยังพบขยะทะเล เช่น เศษอวน เชือก และสายเอ็นในแนวปะการัง ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศระยะยาว

ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เผยถึงสถานการณ์ปะการังฟอกขาวในปัจจุบันว่า จากการเกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ปีที่แล้ว มีสาเหตุจากอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น บางส่วนมีตะกอนทับถมในแนวปะการัง ส่งผลให้ปะการังเกิดความเครียดสูง ทำให้ปะการังขับสาหร่ายซูแซนเทลลีออกจากตัวปะการัง เมื่อสูญเสียสาหร่ายดังกล่าวไป ปะการังเข้าสู่ภาวะอ่อนแอและกลายเป็นสีขาว ทั้งนี้ สถานการณ์ปะการังฟอกขาวนั้นเริ่มเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนปี 2567 มีการฟอกขาวประมาณ 60-80% หลังจากนั้นปะการังที่ฟอกขาวค่อย ๆ ฟื้นตัวประมาณ 60% และมีบางส่วนตายไปประมาณ 40% และแนวปะการังในบางพื้นที่ที่ไม่พบปะการังฟอกขาว บางส่วนอาจมีสีจางหรือฟอกขาวเล็กน้อย ประมาณ 10%
“ ในฝั่งทะเลอันดามันจากที่เคยมีการฟอกขาวสูงสุดประมาณ 55% สำรวจล่าสุดพบว่า การฟอกขาวมีอัตราการฟื้นตัวประมาณ 60-70% พบการตายจากการฟอกขาวประมาณ 30-40% ทางด้านฝั่งอ่าวไทยมีการฟอกขาวสูงสุดในเดือนพฤษภาคม 2567 โดยฟอกขาวประมาณ 90% ปะการังที่ตายและเสียหายมาก คือ ปะการังบริเวณน้ำตื้น ส่วนปะการังน้ำลึกได้รับผลกระทบน้อยกว่า มีอัตราการฟื้นตัวประมาณ 40-60% มีการตายจากการฟอกขาวประมาณ 30-50%ในปัจจุบันทั้งสองพื้นที่ไม่พบการฟอกขาวของปะการังแล้ว นับว่าเป็นสถานการณ์ที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยการลดอัตราการตายและเสียหายจากสถานการณ์ปะการังฟอกขาว เป็นผลมาจากนโยบาย ลด งด ช่วย ที่ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดถือเป็นแนวทางทั้งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช “ ดร.ปิ่นสักก์ กล่าว

ทั้งนี้ ตามแผนปฏิบัติงานฟื้นฟูปะการังในปี 2568 ของ ทช.ได้ดำเนินการเพิ่มพื้นที่ฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง 7 จังหวัด ได้แก่ ตราด ระยอง ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต รวม 12 ไร่ ปลูกฟื้นฟูปะการังในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ ตราด ระยอง ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต รวม 24 ไร่ และดำเนินการอนุบาลเพาะพันธุ์ปะการัง จำนวน 60,000 โคโลนี
“ การอนุรักษ์และการฟื้นฟูแนวปะการังเป็นมาตรการที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ทรัพยากรแนวปะการังของประเทศสามารถดำรงสภาพความสมบูรณ์อยู่ได้ ทั้งนี้ ต้องมีการบริหารจัดการเน้นการมีส่วนร่วมควบคู่กับการใช้มาตรการทางด้านกฎหมาย เพื่อฟื้นฟูสถานภาพปะการังให้กลับมาคงความอุดมสมบูรณ์ต่อไป “ อธิบดี ทช. กล่าว

อย่างไรก็ตาม ช่วงหลายปีที่ผ่านมา กิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำในไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่แนวปะการังที่มีความสวยงาม เกิดผลกระทบตามา อธิบดี ทช. กล่าวว่า ผู้ประกอบการหลายรายละเลยการควบคุมดูแลนักท่องเที่ยว ปล่อยให้ดำน้ำโดยไม่มีการอบรมหรือแนะนำวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ขาดเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญดูแล ทำให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัส เหยียบย่ำ หรือใช้ตีนกบโดยไม่รู้วิธี มีการให้อาหารปลา และทิ้งขยะในทะเล รวมถึงผู้ประกอบการที่จัดกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ เคลื่อนย้ายปะการัง สัตว์น้ำ หรือสิ่งมีชีวิตใด ๆ มาให้นักท่องเที่ยวดู ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการังมาอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาดังกล่าว ทส. มอบหมายให้ ทช.จัดทำประกาศ “มาตรการคุ้มครองทรัพยากรปะการังจากกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ” ขึ้น เพื่อบังคับใช้กับผู้ประกอบการที่จัดกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ หากฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย
สาระสำคัญของมาตรการใหม่นี้ต้องจัดให้มีผู้ควบคุมหรือผู้ช่วยควบคุมที่ผ่านการอบรมตามหลักสูตรที่ ทช. กำหนด เดินทางไปกับนักท่องเที่ยวทุกครั้ง ซึ่งผู้ควบคุมต้องชี้แจงกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงวิธีการดำน้ำที่ไม่กระทบต่อปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลให้กับนักท่องเที่ยวทราบก่อนการดำน้ำ กำหนดอัตราส่วนผู้ควบคุมต่อนักท่องเที่ยว แบ่งตามประเภทการดำน้ำ ได้แก่ การดำน้ำลึก (Scuba) ผู้ควบคุม 1 คน ต่อนักดำน้ำไม่เกิน 4 คน การดำน้ำตื้น (Snorkel) และดำน้ำอิสระ (Freediving) ผู้ควบคุม 1 คน ต่อนักดำน้ำไม่เกิน 20 คน การทดลองเรียนดำน้ำ (DSD or Try Dive) ผู้ควบคุม 1 คน ต่อนักเรียนไม่เกิน 2 คน และการเรียนและการสอบดำน้ำลึก ผู้ควบคุม 1 คน ต่อนักเรียนไม่เกิน 4 คน และห้ามเรียนบนแนวปะการัง ต้องเรียนบนพื้นทราย

ดร.ปิ่นสักก์ ระบุการออกมาตรการดังกล่าวจะช่วยสร้างมาตรฐานการดำน้ำในบริเวณแนวปะการัง ทั้งการดำน้ำตื้นและดำน้ำลึก ให้กับนักดำน้ำมือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ พร้อมกำกับดูแล และควบคุมการประกอบกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำบริเวณแนวปะการังให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีข้อปฏิบัติในการดำน้ำลึก ห้ามนำกล้องลงไปถ่ายภาพใต้น้ำ ยกเว้นมีผู้ที่ผ่านหลักสูตรดำน้ำลึกระดับเทียบเท่า Advanced หรือมีประสบการณ์ดำน้ำ 40 ไดฟ์ขึ้นไป ทำหน้าที่ถ่ายภาพให้ หากมีการเรียนหรือสอบดำน้ำลึก ห้ามครูและนักเรียน ถ่ายภาพใต้น้ำ (ยกเว้นการเรียนตามหลักสูตรถ่ายภาพใต้น้ำ) ถ้าต้องการถ่ายภาพในการเรียนจะต้องมีบุคคลทำหน้าที่ถ่ายภาพโดยเฉพาะ เพราะหากไม่เชี่ยวชาญในการดำน้ำจะทำให้ปะการังเกิดความเสียหาย
ส่วนการดำน้ำตื้น หากดำน้ำตื้นในบริเวณแนวปะการังระดับน้ำจะต้องสูงไม่น้อยกว่า 2 เมตร จากยอดปะการัง หากมีการใช้ตีนกบ ผู้ควบคุมต้องแจ้งวิธีการใช้ตีนกบไม่ให้กระทบต่อปะการัง และต้องใส่ชูชีพทุกครั้ง เว้นแต่ผ่านหลักสูตรการดำน้ำลึกหรือหลักสูตรการดำน้ำอิสระมาแล้ว
ทั้งนี้ ทช. ได้จัดทำ (ร่าง) ระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยผู้ควบคุมและผู้ช่วยผู้ควบคุมการท่องเที่ยวดำน้ำในบริเวณแนวปะการัง โดยมีมัคคุเทศก์ ผู้นำการดำน้ำ และครูสอนดำน้ำ หรือระดับเทียบเท่าขึ้นไป ผ่านการฝึกอบรมแล้ว 1,946 คน อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการออกบัตรให้กับผู้ผ่านการฝึกอบรม หากผู้ประกอบการที่จัดกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว จะมีโทษตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อประโยชน์ในการสงวน คุ้มครอง อนุรักษ์ หรือฟื้นฟูทรัพยากรปะการังให้ดีขึ้น

ภาพ:กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ดร.ธรณ์' สรุปสถานการณ์ปะการัง 'อ่าวไทย' ตายมากกว่า 'อันดามัน' น้ำตื้นตายมากกว่าน้ำลึก
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม โพสต์เฟซบุ๊กว่า
สุดเศร้า พบพะยูนช่วงวัยรุ่นเกยตื้นตายหาดแหลมปะการัง
สุดเศร้า เครือข่าย ทช.พบพะยูนช่วงวัยรุ่นเกยตื้นตาย บริเวณหาดแหลมปะการัง พังงา เร่งตรวจสอบหาสาเหตุ
ต่อชีวิต'พะยูนฝูงสุดท้าย' กอบกู้หญ้าทะเล
การเสียชีวิตของพะยูนไทยที่ปรากฎอย่างต่อเนื่องตามสื่อต่างๆ ในรอบปี 2567 มีตัวเลขการตายพุ่งสูงกว่าทุกปี หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ พะยูนตายไปแล้วเกือบ 40 ตัว รวมปี 2566 ไทยสูญเสียพะยูนรวมกันเกือบ 80 ตัว ถือเป็นสัญญาณอันตรายของพะยูน
สถานการณ์ทางทะเลที่ต้องจับตา ขยับเศรษฐกิจสีน้ำเงินลดทำลาย
สถานการณ์ทางทะเลของประเทศไทยขณะนี้หลายปัญหามีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ทั้งสัตว์ทะเลหายากเสี่ยงสูญพันธุ์จากกิจกรรมมนุษย์และสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อน ล่าสุดกรณีพะยูนตายมากถึง 5 ตัวภายในเดือนพฤศจิกายนนี้เพียงเดือนเดียว
เก็บขยะศึกษาแหล่งที่มาในทะเล ปลุกความรับผิดชอบผู้ผลิต
กรม ทช. เก็บตัวอย่างขยะทะเลและศึกษาปริมาณขยะบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก เพื่อตรวจสอบบาร์โค้ดเป้าหมายเพื่อให้ผู้ผลิตตระหนักถึงพลาสติกและขยะที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม และหันมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลหรือย่อยสลายได้
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม เตือน ภาวะโลกเดือด เปิดประตูสู่นรก
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า