ห้ามเล่นนํ้าสงกรานต์ ให้เน้นกิจกรรมประเพณี ลุ้นปลดล็อกสถานบันเทิง

ไทยพบติดเชื้อใหม่ 2.5 หมื่นราย "เลขาฯ สมช." ชง ศบค.คลายพื้นที่โซนสีส้มเป็นสีเหลือง ยังห้ามเล่นน้ำสงกรานต์ เน้นกิจกรรมประเพณี ปรับรูปแบบไทยแลนด์พาสเอื้อนักท่องเที่ยว กั๊กปลดล็อกสถานบันเทิง ชี้ต้องรอบคอบ โยนชุดใหญ่เคาะ ยันไม่เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน "อนุทิน" ปัดข่าวเลิกสวมแมสก์ แจงแค่แผน 4 เดือนข้างหน้า โควิดไม่กลายพันธุ์ ถอดบางพื้นที่

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 25,456 ราย ติดเชื้อในประเทศ 25,363 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 24,889 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 474  ราย มาจากเรือนจำ 54 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 39 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 22,217 ราย อยู่ระหว่างรักษา 225,134 ราย อาการหนัก 1,402 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 504 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 77 ราย เป็นชาย 33 ราย หญิง 44 ราย อายุ 60 ปีขึ้นไป 67 ราย มีโรคเรื้อรัง 8 ราย ไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 2 ราย ขณะนี้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 3,276,098 ราย มียอดหายป่วยสะสม 3,026,969 ราย มียอดผู้เสียชีวิตสะสมจำนวน 23,995 ราย ยอดฉีดสะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.64 จำนวน 126,613,089 โดส

สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด ได้แก่ กทม. 3,703 ราย, นครศรีธรรมราช 1,688 ราย, ชลบุรี 1,231 ราย,  สมุทรสาคร 1,108 ราย, สมุทรปราการ 874 ราย, สงขลา 692 ราย, ราชบุรี 587 ราย, สุพรรณบุรี 563 ราย, ฉะเชิงเทรา 513 ราย และร้อยเอ็ด 474 ราย

พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) กล่าวถึงการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ในวันที่ 18 มี.ค. ว่าในที่ประชุมจะมีการเสนอมาตรการเพื่อผ่อนคลายในหลายเรื่อง เป็นไปตามวงรอบที่ประเมินตามสถานการณ์ โดยจะเสนอปรับพื้นที่สถานการณ์ในบางพื้นที่ เช่น จากสีเหลืองเป็นสีส้ม หรือจากสีส้มเป็นสีเหลือง ในบางพื้นที่อาจจะเห็นว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้น แต่ถ้าประเมินดูรายพื้นที่ จะเห็นว่าบางพื้นที่ทรงตัวและจำนวนลดลง ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้ที่หายป่วยจากการรักษามีจำนวนใกล้เคียงกันต่อเนื่อง จึงจะปรับลดบางพื้นที่ให้ผ่อนคลายมากขึ้น

ผอ.ศปก.ศบค.กล่าวว่า จะพิจารณามาตรการการจัดงานสงกรานต์ โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ทำข้อมูลเตรียมเสนอไว้แล้ว และจะนำมาหารือในที่ประชุม ศปก.ศบค. ก่อนเสนอศบค.ชุดใหญ่ โดยจะเสนอให้จัดได้ภายใต้มาตรการป้องกัน สำหรับ 3 หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องคือ สธ. กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งจะนำข้อมูลมาชี้แจง เบื้องต้นสามารถจัดกิจกรรมรดน้ำดำหัว สรงน้ำพระ ร่วมกิจกรรมที่วัด และร่วมกิจกรรมประเพณีสงกรานต์ได้ แต่ทุกที่ต้องจัดโดยระวัง โดยจะขอให้ใช้กลไกของท้องถิ่นมาช่วยกำกับ ลงไปถึงระดับหมู่บ้าน และจะพยายามจัดโซนนิงให้ทำกิจกรรมตามประเพณีภายใต้การควบคุมโรค

ส่วนที่ สธ.วางแผนปรับสถานการณ์โควิด-19 ไปสู่โรคติดต่อทั่วไป ตามที่มีข่าว  โดยจะเป็นแผนและกรอบให้ที่ประชุมศบค.ทราบก่อนจะให้ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับข้อเสนอให้ผ่อนคลายเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะทั่วประเทศ เรื่องนี้มีการเสนอเข้ามาทุกรอบที่มีการประชุม ศบค. และเราพยายามช่วยผู้ประกอบการที่ทำกิจการด้านนี้อยู่ แต่ต้องดูปัจจัยหลายประเด็น และพิจารณาให้รอบคอบ เนื่องจากกิจการและกิจกรรมประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง และส่วนใหญ่เป็นสถานที่ปิด มีโอกาสแพร่เชื้อสูง และครั้งนี้จะเสนอให้ศบค.พิจารณา โดยดูปัจจัยขณะนี้ที่โอมิครอนแพร่กระจายเร็ว และไม่รุนแรง ทั้งยังมีปัญหาเรื่องผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และกลุ่มเปราะบาง มีอัตราเสียชีวิตค่อนข้างสูงที่ต้องคำนึงถึง หากตัดสินใจเปิดที่มีความเสี่ยงมาก แล้วต้องลงทุนสูง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องน่ากังวล จึงต้องพิจารณาให้รอบด้าน นอกจากนี้ จะมีการพิจารณาปรับหลักเกณฑ์การเข้าประเทศ ในรูปแบบไทยแลนด์พาส เพื่อให้คนไทยและนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศสะดวกมากขึ้น

เมื่อถามว่า การผ่อนคลายมาตรการจะสวนทางกับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นหรือไม่ พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า ไม่สวนทาง และ สธ.คาดการณ์ไว้แล้วตามฉากทัศน์ และจำเป็นต้องผ่อนคลาย เพราะอยากให้เศรษฐกิจเดิน ให้ประชาชนมีงานทำและมีรายได้ โดยมีมาตรการที่ดีที่สุดออกมาช่วย ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือการฉีดวัคซีนที่จะทำให้อัตราติดเชื้อน้อย หรือเมื่อติดแล้วไม่รุนแรง ส่วนการเตรียมให้เปิดหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะได้นั้น การสวมหน้ากากอนามัยในขณะนี้ยังจำเป็น จนถึงวันที่เราพิจารณาว่ามีความเหมาะสมที่จะเปิดได้อย่างปลอดภัย และเมื่อย้อนไปดู 2 ปีที่ผ่านมา หน้ากากอนามัยเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ป้องกันไม่ให้ประเทศเกิดการระบาดเป็นแสนคนหรือเป็นล้านคนเหมือนกับบางประเทศ ดังนั้นข่าวที่ออกมาอาจจะเป็นแผนการในอนาคต ในช่วงเวลา 3 เดือน หรือ 6 เดือนข้างหน้า โดยจะต้องประเมินสถานการณ์ให้ต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีโอกาสที่จะผ่อนคลายให้การจัดกิจกรรม เช่น คอนเสิร์ต งานมหรสพในห้องปิดได้หรือไม่ พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า เรามีมาตรการมาต่อเนื่องว่าการจัดกิจกรรมแต่ละประเภทมีข้อกำหนดอย่างไร มีเรื่องใดต้องขออนุญาต คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และการให้รวมตัวกันจำนวนกี่คน ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ต้องทำต่อ ยกเว้นที่ประชุม ศบค. มีการปรับพื้นที่สถานการณ์ของพื้นที่นั้นๆ จะผ่อนคลายหรือเคร่งครัดขึ้นก็แล้วแต่ โดยทุกเรื่องที่เสนอจะต้องผ่านความเห็นชอบจาก ศบค.ก่อน เช่น เรื่องการเปิดหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ

เมื่อถามว่า จะมีการเสนอให้ยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) หรือไม่ พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า ยืนยันว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังมีความจำเป็นในช่วงเวลานี้ เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ป้องกันประชาชน เมื่อใดที่หมดความจำเป็น จะพิจารณาและเสนอผู้ที่เกี่ยวข้องให้ยกเลิกทันที เมื่อถามย้ำว่าจะยกเลิกเมื่อมีการประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นหรือไม่ พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า แน่นอน เมื่อถึงขั้นนั้นก็ใช้กฎหมายปกติ

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ที่ประชุม ศปก.ศบค.เตรียมเสนอที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เพื่อขอปรับลดมาตรการพื้นที่โซนสี โดยปรับจากพื้นที่สีส้มให้เป็นสีเหลืองมากขึ้น ส่วนจะเป็นพื้นที่จังหวัดใดบ้างนั้น ยังไม่ชัดเจน ต้องรอให้ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่มีมติ ส่วนการปรับรูปแบบการเดินทางเข้าประเทศแบบไทยแลนด์พาส ที่ประชุม ศปก.ศบค.ยังไม่ได้หารือในประเด็นดังกล่าว โดยจะยังคงมาตรการให้ตรวจ RT-PCR ในวันแรก และตรวจ ATK ในวันที่ 5 ของการเข้าประเทศ และแจ้งผลตรวจนั้นไปยังแอปพลิเคชันตามเดิม

รวมทั้งที่ประชุม ศปก.ศบค.ยังไม่มีการหารือถึงมาตรการผ่อนคลายเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ อย่างไรก็ตาม มีการหารือถึงเรื่องการปรับมาตรการการท่องเที่ยววันเดย์ทริปทางบก ที่จะต้องมีการปรับปรุงรูปแบบในบางพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดชายแดน สปป.ลาว ส่วนมาตรการช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์นั้น จะเป็นไปตามที่กรมอนามัยเสนอ โดยไม่อนุญาตให้มีการเล่นน้ำสงกรานต์ได้ตามปกติ แต่จะให้เน้นการทำกิจกรรมตามประเพณีเชิงวัฒนธรรมเท่านั้น

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการวางมาตรการเข้มขึ้นภายหลังการหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ว่า ต้องขอความร่วมมือประชาชนให้ระมัดระวังตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งการติดเชื้อโควิด-19 นั้น มีเหตุติดได้อย่างเดียวคือการรวมกลุ่มกันของคนหมู่มาก จึงพยายามขอความร่วมมือให้มีการป้องกันให้มากที่สุด เป็นวันครอบครัว หากทุกคนกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างเต็มที่สมกับที่ไม่ได้เจอกันนาน คงจะไม่มีอันตราย แต่อย่าให้หลายครอบครัวมารวมกัน และอย่าเพิ่งเน้นเรื่องของบันเทิงอะไรกันมาก ทั้งนี้ แนะบุตรหลานเฝ้าระวังตนเอง ทำตนเองให้ปลอดภัย เปรียบได้เหมือนกับเทศกาลกินเจ คลีนตัวเองให้สะอาดก่อนพบญาติ ทั้งไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ตรวจ ATK

นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ให้เลิกสวมหน้ากาก ข่าวที่ปรากฏออกไปก็มีการแก้ไขแล้ว ว่าเป็นความเข้าใจผิด เรื่องถอดหน้ากากอนามัยเป็นเพียงแผนในระยะ 4 เดือนข้างหน้า ที่จะมีการเสนอต่อ ศบค.เพื่อเตรียมความพร้อมการเข้าสู่โรคประจำถิ่น หากเชื้อไวรัสไม่มีการกลายพันธุ์ สถานการณ์การติดเชื้อ-ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ แต่คงไม่ทั้งหมด ต้องค่อยๆ เริ่มในบางพื้นที่ อย่างเช่น สวนสาธารณะ พร้อมกันนี้ยังเตรียมเสนอยกเลิกการตรวจ RT-PCR ในกลุ่มผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศต้นทางใน 72 ชม. เปลี่ยนมาตรวจในไทยเมื่อมาถึง และจากนั้นจะมีการตรวจ ATK ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง และยกเลิกวงเงินประกันเข้าไทย จาก 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ เหลือ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐแทน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง