ปริญญ์ไครซิส‘วิทยา’ไขก๊อก

“ทนายตั้ม” ร้อง ผบช.น. ตรวจสอบ “พล.ต.ต.” แทรกแซงคดีอดีตรองหัวหน้าพรรคผู้ต้องหาข่มขืน เตรียมออกหมายจับเพิ่ม “ปริญญ์” สัปดาห์หน้า  เอาผิดไฮโซลูกนัท 2 ข้อหาหมิ่นประมาท   "ทนายเดชา" บอกใบ้งานนี้คดีพลิก! ด้าน "วิทยา แก้วภราดัย" ทิ้งประชาธิปัตย์ จี้ กก.บห.รับผิดชอบปม "ปริญญ์" เตือนอย่าให้พรรคช้ำจนไม่เหลือชื่อประชาธิปัตย์ ถ้าไม่เปลี่ยนก็จะไม่เหลือพรรค

 วันที่ 22 เมษายน 2565 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. เพื่อให้ตรวจสอบกรณีมีอดีตตำรวจยศ “พล.ต.ต.” เข้าแทรกแซงในคดีนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

 นายษิทราเผยว่า วันนี้มายื่นหนังสือขอให้ทาง พล.ต.ท.สำราญตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ของแม่เหยื่อว่าใช้เบอร์ไหนคุยกับ พล.ต.ต.คนนี้ และ พล.ต.ต.คนนี้ได้มีการต่อสายไปยังคนของพรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่งหรือไม่ โดย พล.ต.ต.คนดังกล่าวเกษียณอายุราชการไปแล้ว เคยเป็นผู้บังคับการตำรวจจังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออก ถ้ามีการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ช่วงวันที่ 11 เม.ย.-ปัจจุบัน น่าจะพอทราบ ถ้ามีการโทร.คุยกับแม่เหยื่อหรือคนของพรรคการเมืองก็จะได้มีการสืบสวนต่อไปว่ามีการคุยเรื่องอะไร

เหตุที่คิดว่ามีการแทรกแซงคดี เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ได้มีการพบกับครอบครัวผู้เสียหาย ซึ่งเขาได้บอกว่ามีอะไรก็ปรึกษากับตำรวจคนนี้อยู่ตลอดเวลา พักหลังเวลาแนะนำอะไรไปเขาจะบอกว่าต้องปรึกษากับตำรวจคนดังกล่าวก่อน ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำตามในสิ่งที่ควรทำ ไม่ยอมไปที่ศาลเพื่อขอคัดค้านการประกันตัว โดยเขาอ้างว่าตำรวจคนนี้เป็นลุง แต่คิดว่าน่าจะเป็นการนับถือ คงไม่เกี่ยวข้องกับสายเลือด  ส่วนที่ว่าเหยื่อจะกลับคำให้การหรือไม่

นั้น ยังไม่ถึงขนาดนั้น แต่ในอนาคตไม่แน่ต้องกันไว้ก่อน ต้องเปิดออกมาให้ได้ว่า พล.ต.ต.คนนี้เกี่ยวข้องอย่างไร ตีกันไม่ให้เขาทำในอนาคตด้วย ส่วนจะเข้าข่ายการข่มขู่หรือไม่ ตำรวจต้องสอบสวนมีการข่มขู่บังคับจิตใจพยานหรือไม่ ถ้าพบว่ามีการเชื่อมโยงการใช้โทรศัพท์ ตำรวจก็คงต้องไปสอบถามว่ามีการพูดในลักษณะใด   เป็นผลเสียต่อรูปคดีหรือเปล่า

นายษิทรากล่าวอีกว่า พล.ต.ต.คนนี้เข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่วันเกิดเหตุถูกลานลาม แต่ทราบมาว่าก่อนที่จะมาปรึกษาตนวันที่ 12 เม.ย. ยังไม่มีใครมาแนะนำให้ดำเนินคดี จนมาวันที่ 13 เม.ย. จึงแนะนำให้ไปแจ้งความ ถ้ามีการแทรกแซงจริงๆ ก็กังวล ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่มีการแก้คำให้การ  แต่ถ้าไปถึงชั้นอัยการมีการขอให้สอบเพิ่มเติม สื่อไม่สนใจแล้วอาจจะมีการให้การไปในลักษณะใดลักษณะหนึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีก็ได้ ผู้เสียหาย 15 ราย

ที่มีการแจ้งความดำเนินคดีและเป็นพยาน ยังไม่ได้กลิ่นอะไรไม่ดี หลังจากนี้คิดว่าทางฝั่งผู้ต้องหาตั้งหลักได้แล้ว คงจะหากลยุทธ์สร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง

ส่วนหญิงผู้เสียหายที่อยู่ประเทศอังกฤษ ได้มีการพูดคุยและประสานคนที่สามารถเดินเรื่องให้ผู้เสียหายที่ประเทศอังกฤษแล้ว ถ้าหลักฐานยังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ในวันถูกข่มขืนที่มีสารคัดหลั่ง กล้องซีซีทีวี ถ้าหลักฐาน 2 อย่างอยู่ก็พร้อมให้ศาลดำเนินคดีต่อ เพราะตอนนี้สภาพจิตใจเขาโอเคแล้ว โดยเหตุดังกล่าวเกิดมาแล้วประมาณ 10 ปี ขณะผู้เสียหายเรียนปริญญาโท ส่วนคนก่อเหตุทำงานที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ไปให้คำสัญญาสามารถคุยกับผู้บริหารมาทำงานที่ธนาคารได้ หลอกล่อไปอพาร์ตเมนต์ก่อนข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายก็ได้ดำเนินคดี แต่สภาพจิตใจตอนนั้นย่ำแย่ ตัดผมตัวเอง ย้ายที่อยู่ ที่เสียใจที่สุดมีหญิงไทยคนหนึ่งเกี่ยวข้องกับสถานทูตมาบอกว่าอย่าดำเนินคดีด้วย ซึ่งขณะนี้ผู้เสียหายต้องการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ประเทศอังกฤษ ถ้านับผู้เสียหายก็เป็นรายที่ 16 ส่วนอายุความได้คุยกับผู้เสียหายที่ดร็อปไว้ เขาบอกว่าบางเคสดร็อปไว้ถึง 30 ปี ผู้เสียหายมั่นใจว่าดำเนินการได้ และเขายังฝากมาย้ำว่า คดีของเขายังไม่แพ้คดีตามที่กลุ่มผู้ก่อเหตุได้มีการให้ข่าว เพราะยังไม่มีการตัดสิน และพร้อมดำเนินการต่อ

ด้าน พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของคดีว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายในคดีทั้งหมด 15 ราย แบ่งเป็นคดีข่มขืน 3 ราย, อนาจาร 7 ราย, ข่มขืนและอนาจาร 1 ราย, อนาจารและพรากผู้เยาว์ 1 ราย, ขาดอายุความ 1 ราย, คดีต่างประเทศ 1 ราย และกำลังพิจารณาว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ 1 ราย ซึ่งคดีที่ สน.ลุมพินี มี 9 ราย

โดยมีคดีของผู้เสียหายที่มีคลิปเสียงการสนทนากับผู้ต้องหา ซึ่งตอนแรกผู้เสียหายประสงค์ให้การเป็นพยานเท่านั้น เพราะได้รับการชดใช้มาส่วนหนึ่งแล้ว แต่ตำรวจพิจารณาแล้วเป็นคดีที่ยอมความไม่ได้ จึงกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อรับเป็นคดี

รอง ผบช.น.กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีนายษิทราอ้างว่ามีนายตำรวจยศ “พล.ต.ต.” เข้ามาแทรกแซงคดีนั้น วันที่ 21 เม.ย. พ.ต.อ.นิมิตร นูโพนทอง ผกก.สน.ลุมพินี ได้คุยกับมารดาผู้เสียหายในคดีแรก ยังยืนยันที่จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ซึ่งตำรวจนายนี้เป็นข้าราชการบำนาญเกษียณราชการ ที่ฝ่ายผู้เสียหายมีความเคารพนับถือและรู้จักมานาน จึงได้สอบถามเรื่องข้อกฎหมาย แต่ยืนยันว่าอดีตตำรวจนายนี้ไม่เคยมายุ่งเกี่ยวกับคดีหรือแม้แต่ติดต่อพนักงานสอบสวนเข้ามา   โดยฝ่ายผู้เสียหายยังคงเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ ยังไม่มากลับคำให้การหรือถอนการแจ้งความ เพียงแต่ต้องการความเป็นส่วนตัว เชื่อว่าทนายตั้มอาจเข้าใจผิด

 “ยืนยันว่านับตั้งแต่รับคดีวันแรกก็ไม่มีใครเข้ามายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือกดดันการทำงานของตำรวจ ซึ่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข  ผบ.ตร.กำชับให้ทำงานด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม รวดเร็วและรอบคอบ โดยคดีแรกที่รับไว้จะปิดสำนวนได้ในเวลาไม่นาน เพียงแต่รอหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และการพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหา ในสัปดาห์หน้าจะมีความคืบหน้าในการขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม”

พล.ต.ต.ไตรรงค์กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีของนายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือลูกนัท ที่ส่งเสียงโวยวายและชูนิ้วต่อว่าเจ้าหน้าที่ขณะเข้าตรวจค้นคอนโดฯ ผู้ต้องหาย่านสุขุมวิทซอย 3 นั้น ฝ่ายกฎหมายตำรวจนครบาล 5 พิจารณาแล้วว่ามีความผิด 2 ข้อหาฐานหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ผ่านการพิมพ์ข้อความทางเฟซบุ๊ก จึงได้ส่งเรื่องให้ ผกก.สน.ลุมพินี แจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งจะมีการออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาเร็วๆ นี้

นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความชื่อดัง ไลฟ์สดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ทนายคลายทุกข์” โดยกล่าวตอนหนึ่งถึงคดีอดีตรองหัวหน้าพรรคว่า คดีนี้ผิดถูกยังไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาถูกกล่าวหา โดยแหล่งข่าวของตนที่ใกล้ชิดกับผู้ต้องหาแจ้งมาว่า ความจริงไม่ได้ปรากฏตามข่าว และตอนนี้ไม่มีพยานหลักฐานใดที่บอกว่ามีการข่มขืนกระทำชำเรา

“เร็วๆ นี้อาจจะมีผู้หวังดีส่งหลักฐานมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าคดีนี้อาจไม่ใช่คดีล่วงละเมิดทางเพศ อาจจะเป็นคดีสมยอมก็ได้ หรืออาจจะเป็นคดีที่ไม่มีการข่มขืนก็ได้ ซึ่งเร็วๆ นี้ก็จะส่งมา ผมจะส่งต่อให้สำนักข่าวต่างๆ นำไปเผยแพร่ เพราะฉะนั้นเหรียญมี 2 ด้าน อย่าเพิ่งตัดสินคนอื่น”

ส่วนกรณีร้องเรียนว่ามี “พล.ต.ต.” ไปแทรกแซง ทางตำรวจได้ชี้แจงแล้วว่าไม่มีการแทรกแซงคดีแน่นอน ตรงนี้ต้องมีการพิสูจน์กัน ซึ่งตนไม่ทราบข้อเท็จจริง

นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์หลายสมัย เผยว่า ได้ยื่นลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ต่อเจ้าหน้าที่พรรคเรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ยังไม่ได้เรียนให้นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับทราบด้วยตัวเอง แต่ได้ฝากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ไปแจ้งต่อนายชวนให้รับทราบแล้วเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา

เขากล่าวว่า สาเหตุที่ตัดสินใจลาออกครั้งนี้นั้น ตนอยู่พรรคการเมืองมาหลายพรรค แต่อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์นานที่สุดในชีวิตการเมือง ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้นพรรค โดยเฉพาะกรณีนายปริญญ์ ที่สร้างความเสียหายให้กับพรรค ตนอยากให้กรรมการบริหารพรรคแสดงความรับผิดชอบ และแสดงสปิริตกับเรื่องที่เกิดขึ้นให้มากกว่านี้ เพราะเรื่องมาตรฐานจริยธรรมต้องสูงกว่ากฎหมาย พรรคไม่ผิด แต่มีคนผิด ดังนั้นต้องมีคนรับผิดชอบ เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคชุดนี้เป็นคนชักจูงนายปริญญ์เข้ามาอยู่ในพรรค ถือเป็นความรับผิดชอบทางการเมืองต่อประชาชน จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เหลือพรรค

 “อย่าให้พรรคช้ำจนไม่เหลือชื่อประชาธิปัตย์ ถ้าไม่เปลี่ยนก็จะไม่เหลือพรรค คำว่าประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นแบบนี้ เพราะเราถูกสอนมาว่าต้องรู้จักรับผิดชอบต่อสังคม และความรู้สึกของประชาชน ไม่ใช่เกาะเกี่ยวเหนียวติดอยู่กับตำแหน่ง ผมถูกฝึกมาอย่างนั้น พรรคเป็นของทุกคน พรรคก็เป็นของผม แต่ผมต้องหาคนรับผิดชอบให้ได้ เมื่อไม่มีใครรับผิดชอบ ผมต้องเลือกปกป้องพรรค” นายวิทยากล่าว

เมื่อถามว่า หมายความว่าผู้บริหารพรรคควรแสดงสปิริตลาออกทั้งคณะ เพื่อแสดงความรับผิดชอบใช่หรือไม่ นายวิทยากล่าวว่า ควรคิดแบบนั้น เพราะพรรคถูกทำร้าย พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันการเมืองที่มีมายาวนาน ตนอยากเห็นพรรคอยู่ต่อไปได้ แต่เมื่อคนในพรรคทำผิด ผู้บริหารพรรคก็ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะสมัยที่ตนเองเป็น รมว.สาธารณสุขก็เคยถูกพาดพิง ก็แสดงความรับผิดชอบ ตนเป็น ส.ส.มากว่า 30 ปี อยู่มาหลายพรรค และคิดว่าจะอยู่พรรคประชาธิปัตย์นานที่สุด ใครก็อิจฉา แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ประชาชนที่เป็นเจ้าของพรรคจะคิดอย่างไร จึงเป็นสาเหตุทำให้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคครั้งนี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทนายตั้มส่งหลักฐานส่วยเว็บพนันแล้ว 'บิ๊กเต่า' ลั่นไม่กลัวเพราะไม่เคยเลียตูดนายเพื่อความเจริญก้าวหน้า!

'ทนายตั้ม' ส่งเส้นเงินส่วยเว็บพนัน 'บิ๊กเต่า' ตรวจสอบ รอง ผบช.ก.ไม่หนักใจพร้อมปัดกวาดตำรวจชั่ว ยันไม่ได้เป็นเด็ก ผบ.ตร. ทำงานตามอุดมการณ์ ไม่เคยเลียตูดนายเพื่อความเจริญก้าวหน้า ใหญ่แค่ไหนก็จับ