สมเด็จพุฒาจารย์ กำหนดบทลงโทษ พระผิดวินัยสงฆ์!

มส.มีมติตั้ง “สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรฯ” นั่งประธานกำหนดหลักเกณฑ์และโทษ “พระ"  ประพฤติไม่เหมาะสม พร้อมเจ้าคณะปกครองที่ปล่อยปละละเลย “ผอ.พศ.” ยัน “กาโตะ” พ้นผ้าเหลืองตั้งแต่เสพเมถุนที่สันเขื่อนแล้ว กลับมาบวชอีกไม่ได้ "อนุชา" โยนฝ่ายปกครองจัดการลัทธิพิลึก 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พร้อมด้วยนายสิปป์บวร แก้วงาม  ผอ.พศ. ร่วมกันแถลงข่าวถึงประเด็นพระสงฆ์ในปัจจุบันว่า  ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาเกิดกรณีความเสื่อมเสียของพระสงฆ์ที่ไม่เอื้อต่อธรรมวินัย มหาเถรสมาคม (มส.) และ พศ.ไม่ได้นิ่งนอนใจนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมของ มส. ซึ่งปัจจุบันได้มีมติที่ 391/2565 เรื่องพระภิกษุมีจริยวัตรไม่เหมาะสม ประพฤติตนไม่เอื้อต่อพระธรรมวินัย ดังนี้ 1.กำชับให้พระอุปัชฌาย์ปฏิบัติตามกฎมหาเถรสมาคมและต้องเข้มงวดในการคัดกรองบุคคลที่จะเข้ามาบรรพชาอุปสมบทอย่างเคร่งครัด 2.กำชับให้เจ้าอาวาส ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดควบคุมพระภิกษุ สามเณรในปกครองประพฤติตามพระธรรมวินัย  กฎหมาย และกฎมหาเถรสมาคมอย่างเคร่งครัด และ 3.กำชับให้เจ้าคณะผู้ปกครองในแต่ละระดับตรวจตราพระภิกษุผู้อยู่ในปกครองให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หากพบเห็นหรือทราบข่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้ดำเนินการแก้ปัญหาให้ยุติโดยเร็ว โดยไม่ต้องรอรับรองรายงานการประชุม

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการสืบสวนอดีตพระกาโตะ  นายอนุชากล่าวว่า มส.ได้มีมติมอบหมายให้ประธานฝ่ายปกครองของ มส. คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และกำหนดโทษแก่พระที่ปฏิบัติไม่เหมาะสม และเจ้าคณะผู้ปกครองที่ได้ปล่อยปละละเลยให้มีการประพฤติไม่เหมาะสมเกิดขึ้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาในเรื่องของบทลงโทษ แต่ในส่วนของอดีตพระกาโตะนั้น ได้ดำเนินการตรวจสอบอยู่ทั้งในส่วนของทางธรรมและทางโลก  ยืนยันว่าจะตรวจสอบอย่างเข้มงวดไม่มีการช่วยเหลืออย่างแน่นอน และสอบไปจนถึงการปาราชิกก่อนที่พระกาโตะจะสึกในภายหลัง ทั้งนี้ขาดจากความเป็นพระตั้งแต่กระทำผิดพระวินัย และไม่สามารถกลับมาบวชได้อีก

เมื่อถามถึงกรณีลัทธิพิลึก พศ.สามารถเข้าไปตรวจสอบได้หรือไม่ นายอนุชากล่าวว่า พศ.ไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิที่มีอยู่  หรือความเชื่อของคนที่ปฏิบัติตามความเชื่อนั้นๆ ส่วนตัวมองว่าเกี่ยวข้องกับฝ่ายปกครองที่จะตรวจสอบ โดยลัทธิสามารถตั้งเป็นมูลนิธิ หรือสมาคมเพื่อทำคุณงามความดีให้สังคมได้ แต่หากตั้งขึ้นมาแล้วสร้างความเดือดร้อนก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายปกครอง ส่วนในเรื่องของศาสนาและความเชื่อ หากผู้ใดอยากจดแจ้งสามารถยื่นเรื่องไปที่กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรมได้ หลังจากนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) จะประชุมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสอดส่องร่วมกับผู้ปกครอง เพื่อเข้มงวดกวดขันและเป็นหูเป็นตา ทำให้การปกครองของพระภิกษุนั้นเป็นไปด้วยความราบรื่นและถูกต้อง

ด้านนายสิปป์บวรกล่าวถึงกรณีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของแต่ละวัดว่า ในเรื่องการจัดทำบัญชีของวัด  ปัจจุบันทุกวัดเป็นลักษณะบัญชีพื้นฐานรายรับ-รายจ่าย ส่วนวัดที่มีความพร้อมก็ได้จัดทำบัญชีเต็มรูปแบบ ซึ่งเรามีการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเจ้าคณะปกครองในการให้วัดต่างๆ ต้องรายงานสถานะการเงินของวัดมายัง พศ.  อีกส่วนหนึ่งแต่ละวัดต้องรายงานเจ้าคณะผู้ปกครองตามลำดับ 

นายสิปป์บวรกล่าวถึงอดีตพระกาโตะว่า มีการรับสารภาพว่าได้เสพเมถุน ซึ่งตามหลักศาสนาถ้าพระเสพเมถุนถือเป็นหนึ่งในความผิดปาราชิกทันที และถ้าปาราชิกจะพ้นจากการเป็นพระสงฆ์โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องลาสิกขา พ้นตั้งแต่ที่ลงมือเสพเมถุนแล้ว เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่ามีผลตั้งแต่บนสันเขื่อนแล้วใช่หรือไม่ นายสิปป์บวรกล่าวว่า ใช่และจะกลับมาบวชในพระพุทธศาสนาอีกไม่ได้ เพราะถือเป็นบุคคลต้องห้าม 

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเกิดลัทธิพิลึกให้กินอึกินฉี่แก้โรคที่ จ.ชัยภูมิ ภาครัฐสามารถเข้าดำเนินการอย่างไรได้บ้างว่า ดำเนินการได้ เพราะถึงแม้จะเป็นเรื่องของความเชื่อ แต่ก่อให้เกิดอันตราย  เรื่องนี้จัดการได้ อย่างไรก็ตามตนจะรีบไปสอบถามรายละเอียด

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 8 พ.ค. ที่ห้องสอบสวนชั้น 2 สภ.เมืองนครศรีธรรมราช พ.ต.ท.อาคม จ้อนนุ้ย รอง ผกก.(สอบสวน)  ได้เชิญนายพงศกร จันทร์แก้ว อายุ 23 ปี หรือ “สมีกาโตะ”  มาสอบสวนปากคำ ในคดีที่ถูกนายยุทธนา แต่งวงศ์ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช นายไพฑูรย์ อินทศิลา อุปนายก/ประธานศูนย์ข่าวนคร 24 ชม. สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช แจ้งความดำเนินคดี กรณีระบุกลางรายการโหนกระแสทางช่อง 3 ว่า ได้จ่ายเงิน 3 แสนบาทให้นักข่าวในท้องถิ่น จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเคลียร์ปิดข่าวคลิปฉาวเสพเมถุนสีกาตอง

โดยนายพงศกรได้เดินทางมาพร้อมบิดา ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการตำรวจวัย 62 ปี เข้าพบ พ.ต.ท.อาคม ทันทีที่ผู้ฟ้องร้องทั้งสองเดินเข้าไปในห้องพบ พ.ต.ท.อาคมกำลังสอบปากคำสมีกาโตะอยู่อย่างเคร่งเครียด อดีตพระกาโตะได้หันมาเผชิญหน้ากับนายยุทธนาและนายไพฑูรย์ แล้วยกมือไหว้ขอโทษอย่างอ่อนน้อมและสำนึกผิด ก่อนจะกล่าวว่าตนต้องกราบขอโทษและยอมรับผิด ตนไม่ได้ตั้งใจกล่าวหา แต่ตนถูกพระคนกลางโทร.มาเร่งบอกว่าเรื่องแดงขึ้นมาแล้ว ต้องรีบเอาเงินไปเคลียร์นักข่าว 3 แสนเพื่อไม่ให้เรื่องฉาวไปมากกว่านี้ จึงนำเงินสดไปโอนเข้าบัญชีส่วนตัว และโอนเข้าบัญชีพระดอนในบัญชีธนาคารกรุงไทยไป 3 แสนบาท เพิ่งมาสอบถามวันที่โฟนอินในรายการโหนกระแส จึงรู้ว่าพระดอนไม่ได้จ่ายเงินเคลียร์นักข่าว

ด้านนายยุทธนาและนายไพฑูรย์กล่าวว่า พร้อมให้อภัยอดีตพระกาโตะ และให้กำลังใจในการต่อสู้ชีวิตและทำความดีต่อไป เมื่อได้พูดคุยเปิดใจกันทุกเรื่องทำให้รู้สึกเอ็นดูสงสาร เพราะดูเหมือนเขาจะตกเป็นเหยื่อทั้งสีกาตองและพระดอน ปัญหาตอนนี้คือติดต่อพระดอนไม่ได้ อยากจะพบและเปิดใจพูดกับพระดอนให้เคลียร์เหมือนกับกาโตะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง