โพลหนุนเปิดปท.ฟื้นศก. บิ๊กตู่ปลื้มอินเดียแห่เที่ยว

โฆษกรัฐบาลยัน “บิ๊กตู่” ยังจับตาสถานการณ์พลังงานอย่างใกล้ชิด  พร้อมเดินหน้าหามาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ สุดปลื้มนักท่องเที่ยวอินเดียแห่เข้าไทย ตั้งเป้าไฮซีซั่น   นทท.มา 1 ล้าน โพลหนุนเปิดประเทศฟื้นเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ขณะนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกยังมีทิศทางปรับขึ้น ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไปทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีนโยบายและติดตามการดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดค่าใช้จ่ายในภาคพลังงานตั้งแต่ปลายปี 2564 จนถึงปัจจุบัน และแม้สถานการณ์ด้านราคาพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันยังคงปรับตัวอยู่ในระดับสูง แต่ก็เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบให้กับประชาชนไปพร้อมกับการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศไทยกลับสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด

 นายธนกรกล่าวอีกว่า กระทรวงพลังงานรายงานถึงการตรึงราคาน้ำมันดีเซลว่า ได้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือน ต.ค.2564 จนถึง 30 เม.ย.2565 และขึ้นเป็น 32 บาทต่อลิตร ตั้งแต่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยใช้กลไกเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนมาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันมีการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 5.43 บาท รวมทั้งลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันนี้ทำให้สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ มีเงินจ่ายออกวันละ 295 ล้านบาท หรือจ่ายออกเดือนละประมาณ 9,172 ล้านบาท ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมัน ณ 22 พ.ค.2565 ติดลบกว่า 41,000 ล้านบาท

 “ยืนยันว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือด้านราคาพลังงานมาอย่างต่อเนื่อง และจะยังคงดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ ประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนให้ได้มากที่สุด และในช่วงสถานการณ์ราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง นายกฯ ได้ย้ำขอความร่วมมือจากประชาชนใช้พลังงานทุกชนิดอย่างประหยัด เพื่อให้ประเทศไทยสามารถผ่านวิกฤตพลังงานในครั้งนี้ไปให้ได้ โดยรัฐบาลจะเดินหน้าช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด” โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว

นายธนกรยังกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ยินดีที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในช่วงจากต้นปีที่ผ่านมามีจำนวนมากกว่า 1 แสนคน ทำให้เชื่อมั่นว่าในปี 2565 จะดึงดูดนักท่องเที่ยวอินเดียมาไทยถึง 5 แสนคน สร้างรายได้เข้าไทยกว่า 22,500 ล้านบาท

นายธนกรกล่าวอีกว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-24 พ.ค.2565 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยอันดับ 1 คือ อินเดีย 100,884 คน ซึ่งการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศ มีเที่ยวบินรองรับการเดินทาง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวจากอินเดีย รวมทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์และออสเตรเลียมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มุ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวอินเดียมาไทยเฉลี่ย 3,000 คนต่อวัน ผ่านการกระตุ้นกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดอินเดีย ทั้งการวางแผนเปิดเส้นทางบินเชื่อมโยงพื้นที่ใหม่ๆ ระหว่างอินเดียและไทย เช่น เชียงใหม่ เป็นต้น และส่งเสริมการตลาดร่วมกับบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์รายใหญ่ เพื่อกระตุ้นการเดินทางช่วงปลายปี 2565 โดยเจาะกลุ่มความสนใจพิเศษ พร้อมขยายความร่วมมือกับบริษัทวางแผนงานแต่งงานในอินเดีย วางแผนนำคู่แต่งงานชาวอินเดียกว่า 400 คู่มาจัดงานในไทยปลายปีนี้อีกด้วย

 “ททท.มีแผนดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติจากอินเดีย กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทย ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดระยะใกล้ในช่วงนี้ก่อน รวมทั้งกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีความสนใจพิเศษ ทั้งกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กลุ่มคู่แต่งงานและฮันนีมูน กลุ่มท่องเที่ยวเชิงกีฬา และการท่องเที่ยวที่เน้นการจับจ่ายสินค้าหรูหรา รวมทั้งพลิกโฉม เปลี่ยนมุมมอง สร้างภาพจำด้านการท่องเที่ยวใหม่ ผ่านการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพใหม่ๆ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” นายธนกรกล่าว

นายธนกรกล่าวว่า ททท.ยังคาดการณ์ว่าตั้งแต่เดือน พ.ค.-ก.ย.2565 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาไทยไม่น้อยกว่า 5 แสนคนต่อเดือน ซึ่งเป็นจำนวนสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ 3 แสนคนต่อเดือน สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งรวมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลทั้งยุโรปและสหรัฐ เชื่อว่าจะมากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน

วันเดียวกัน ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ความเชื่อมั่น หลังรุกเปิดประเทศ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 1,139 ตัวอย่าง โดยเมื่อถามถึงความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังรัฐบาลเปิดประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่หรือ 71.2% เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว หลังรัฐบาลเปิดประเทศทั้งเรื่องท่องเที่ยว การส่งออก การลงทุนและการจ้างงาน เป็นต้น ในขณะที่ 28.8% ไม่เชื่อมั่น นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือ 73.4% พอใจต่อรัฐบาลที่สามารถบริหารจัดการพาประเทศผ่านวิกฤตโควิดสู่โรคประจำถิ่น ในขณะที่ 26.6% ไม่พอใจ

เมื่อสอบถามถึงความเชื่อมั่นต่อการเจริญสัมพันธ์กับนานาประเทศระหว่างสถานการณ์โควิด ในความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่หรือ 74.9% เชื่อมั่นต่อนายกฯ ในขณะที่ 25.1% ไม่เชื่อมั่น ที่น่าสนใจคือ ความเห็นต่อความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการเปิดประเทศฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งจากภาคประชาชน นักลงทุนผู้ประกอบการและภาครัฐ พบว่า ส่วนใหญ่หรือ 93.6% เห็นด้วยที่ทุกฝ่ายควรร่วมมือ มุ่งมั่น เป็นหนึ่งเดียวกันกับนายกฯ ในการเปิดประเทศฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนสังคม และภาคการเมือง ในขณะที่ 6.4% ไม่เห็นด้วย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อุ๊งอิ๊ง' ดูไว้! นักการเมืองต้องรักษาสัจจะเหมือน 'อภิสิทธิ์' เคยหาเสียงไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์

เมื่อน.ส.แพทองธาร ชินวัตร กล่าวในงานอีเวนต์ ”10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10“ ว่า พรรคเพื่อไทยตัดสินใจถูกตั้งรัฐบาลผสม