ผ่านงบเจอซักฟอก ‘บิ๊กตู่’รับปรับลด-เพิ่มให้ 15มิ.ย.ยื่นญัตติถล่มซ้ำ

อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 66 วันสุดท้าย “พท.” ชำแหละเละ “คมนาคม” เรียกค่าไถ่ อัดงบ “บุรีรัมย์” มากกว่า “เชียงใหม่” สองเท่า โวยบางพรรคหาเสียงล่วงหน้า จัดงบ “อบจ.ศรีสะเกษ” 940 ล้าน หวังแลนด์สไลด์อีสานใต้ “ยุทธพงศ์” แฉ “เฮีย ซ.” ตบทรัพย์ ขรก.กระทรวงทรัพย์แลกเลื่อนตำแหน่ง “บิ๊กตู่” แจงสภาจัดงบลงจังหวัด ไม่เห็นแก่ประโยชน์ใคร หากผ่านวาระสองจะปรับลด-จัดสรรเงินเพิ่มให้ วอน ปชช.ตัดสิน พ.ร.บ.งบฯ “ฝ่ายค้าน” คึก! จ่อยื่นซักฟอก 15 มิ.ย.นี้ ชี้นายกฯ เป้าใหญ่ ส่วนคนถูกอภิปรายรายอื่นขออุบไว้ก่อน

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ในวาระรับหลักการ เป็นวันสุดท้าย โดยมีบรรดา ส.ส.ได้ทยอยเดินทางเข้ามาเพื่อเข้าร่วมประชุมในเวลา 09.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่สื่อมวลชนรอสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ตามปกติ ที่บริเวณห้องโถงชั้น 1 ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะใช้เส้นทางนี้ในการเดินทางขึ้นห้องประชุมสภา แต่วันนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงเวลา 09.10 น. คณะนายกฯ ที่มารอรับ ซึ่งนำโดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  และนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง, นายประทีป กีรติเลขา รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง และนายยงยุทธ สุทธิชื่น คณะทำงาน ที่มารอรับ มีท่าทีที่ผิดปกติและโทรศัพท์เช็กเป็นระยะๆ ก่อนจะพากันเดินลงบันไดไปรอที่ลิฟต์ B2 แต่ไม่พบขบวนรถของนายกฯ จนได้มีการโทรศัพท์เช็กเจ้าหน้าที่ในขบวนที่ติดตามนายกฯ จนทราบว่านายกฯ ได้ขึ้นห้องประชุมสภาไปแล้ว โดยใช้ทางเข้าอาคารชั้น B1 ในเวลา 09.25 น. ซึ่งสร้างความชุลมุนกับผู้สื่อข่าวที่รอสัมภาษณ์อยู่

มีรายงานว่า การเปลี่ยนเส้นทางเข้าอาคารรัฐสภาดังกล่าว เนื่องจากไม่ต้องการเผชิญหน้ากับกลุ่มที่กำลังแถลงข่าวอยู่ ทั้งหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ที่ยืนให้สัมภาษณ์อยู่ ขณะเดียวกันต้องการที่จะหลีกเลี่ยงสื่อมวลชนจำนวนมากที่มารอสัมภาษณ์

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวก่อนการประชุมถึงบรรยากาศการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบฯ ตลอด 2 วันที่ผ่านมาว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งการอภิปรายมีข้อที่สังเกตว่าผู้อภิปรายของฝ่ายค้านหลายคน พอพูดเสร็จจะมีข้อแนะเพื่อเป็นทางออก ไม่ได้ตำหนิอย่างเดียวเพื่อเป็นเหตุผลว่าทำไมจะไม่รับหลักการ แต่รัฐบาลยังมีความคิดเดิมว่าเรามีแต่ด่าและตำหนิ จึงฝากถึงรัฐบาลว่า ถ้าฟังให้ดีทุกคนเสนอทางออกที่เป็นประโยชน์

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ฝ่ายค้านยึดมั่นชัดเจนว่าจะลงมติไม่รับหลัก และเท่าที่ดูการอภิปรายมาตลอด 3 วัน ก็ยังหนักแน่นว่าสมาชิกของเราไม่เห็นชอบ ไม่รับหลักการ

 “มั่นใจเสียงสวิงที่โหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบฯ ฉบับนี้ เราได้ชี้เหตุผลให้เห็นว่าไม่สมควรที่จะโหวตรับงบประมาณ โดยเฉพาะประเด็นที่จัดงบไม่เหมาะสมกับพื้นที่ ไม่เรียงลำดับความสำคัญ ไม่เหมาะกับสถานการณ์ เรียกว่างบสิ้นหวังที่มีจำนวนมาก รวมถึงงบที่จะส่อไปในทางทุจริต” หัวหน้าพรรค พท.กล่าว

พท.อัดเละงบ'คมนาคม'

จากนั้นเวลา 09.00 น. การอภิปรายได้เริ่มขึ้น มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม โดยนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายงบกระทรวงคมนาคมว่า ก่อนปี 62 ปกติงบจะเปลี่ยนตามหัวและความยากจน งบจีดีพีของแต่ละพื้นที่ ภาคไหนยากจนรัฐบาลก็ช่วยเยอะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น กระทรวงคมนาคมได้งบไปทั้งหมด 5.7% ของงบประมาณประเทศ โตขึ้น 4.2% ถามว่างบไปอยู่ที่ไหน โดยรัฐบาลใช้งบประมาณในการก่อสร้างถึง 15% ของงบประเทศ คิดเป็นเงิน 500,000 ล้านบาท โดยเฉพาะกรมทางหลวงและทางหลวงชนบทมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างมากที่สุดถึง 1.58 แสนล้านบาท หรือกว่า 31% ของบก่อสร้างทั้งประเทศ โดยมีงบประมาณเงินกู้ผูกพันและมีผลกระทบต่อการคลังมากที่สุด คาดว่าจะมีการตั้งงบกินยาวข้ามปี โดยงบประมาณ 5 อันดับแรก กระทรวงคมนาคมมีงบผูกพันไว้ 300,000 ล้านบาท และงบใหม่ประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ากระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหม

“ผมไม่ได้อิจฉาตาร้อนพี่น้อง จ.บุรีรัมย์ แต่มันผิดปกติตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่ปี 62 งบเปลี่ยนไปมาก โดยไม่มีเหตุผลและไม่เกิดประโยชน์ เพื่อเอาตังค์ทอนและหัวคิว ข้อมูลจากสภาพัฒน์ระบุจังหวัดเชียงใหม่มีประชากรประมาณ 1.7-1.8 ล้านคน ส่วนประชากรที่ จ.บุรีรัมย์ มีประมาณ 1.5 ล้านคน แต่รายได้ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ จ.เชียงใหม่ เป็นจังหวัดทำรายได้นักท่องเที่ยวมีคนเข้ามาจับจ่ายใช้สอย กระทรวงคมนาคมที่ให้อบจ.เชียงใหม่ อยู่ที่ 3,120 ล้านบาท แต่จ.บุรีรัมย์ได้งบ 6,487 ล้านบาท โดยได้รับมากกว่าจังหวัดเชียงใหม่ถึงสองเท่า” นายวิสารกล่าว

ส.ส.เพื่อไทยรายนี้ระบุว่า เรื่องที่แย่ที่สุดถามว่ามีการตกลงเพื่อทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่ เช่นที่ จ.ยโสธรและ จ.อำนาจเจริญ มีงบ อบจ. อยู่ที่ 122 ล้าน,  จ.อุบลราชธานี มี 522 ล้าน เพราะเป็นจังหวัดใหญ่ แต่ จ.ศรีสะเกษที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งไปหาเสียงไว้ เขาก็พยายามโฆษณาชวนเชื่อบอกว่าถ้าได้ส.ส.ยกจังหวัดอีก 2 ตำแหน่ง อบจ.ศรีสะเกษ จะได้งบประมาณ 940 ล้านบาท แม้ว่าตอนนี้ประเทศมีหนี้สาธารณะสะสมกว่า  9.9 ล้านล้าน มีหนี้จากรัฐวิสาหกิจ 8.7 แสนล้าน หนี้ค้ำประกันอีก 2.5 แสนล้านบาท แต่เงินภาษีของประชาชนถูกนำไปละเลง เพื่อเป็นจังหวะให้กระทรวงคมนาคมเรียกค่าไถ่

เวลา 10.05 น. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงความไม่โปร่งใสในกระทรวงต่างๆ อาทิ การประมูลโครงการบริหารจัดการท่อส่งน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก ของกระทรวงการคลัง การจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือที่ไม่มีเครื่องยนต์ จัดซื้อ UAV อากาศยานไร้คนขับของอิสราเอล รุ่น HERMES 900 ที่ซื้อในราคา 1,340 ล้านบาท ซึ่งแพงกว่าประเทศฟิลิปปินส์ที่ซื้อได้ในราคา 340 ล้าน การจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ F-35 ของกองทัพอากาศ ที่ไม่ติดตั้งอาวุธมูลค่า 2.1 พันล้านบาท ซึ่งอยากถามว่าการจัดซื้อเหล่านี้ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไม่ดีเหมาะสมหรือไม่

 “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขณะนี้กำลังจะมีการแต่งตั้งผู้ตรวจราชการกรม และผู้อำนวยการด้านวิศวกรรมระดับสูงของสำนักอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ แต่ปรากฏว่ามี “เฮีย ซ.โซ่” ชื่อคล้ายร้านอาหารจีนชื่อดังย่านคลองสาน เรียกเงินจำนวน 8 หลักกับข้าราชการ แต่ข้าราชการไม่มีเงินให้ โดยเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ต้องประชุมเพื่อแต่งตั้งตำแหน่งดังกล่าว แต่ที่สุดก็ต้องเลื่อนออกไป จนถึงวันนี้ก็ยังคงไม่ได้แต่งตั้ง ถ้านายกฯ ต้องการปราบโกง ให้ส่งคนมาให้ผม จะไปหานายกฯ เพื่อมอบข้อมูลให้”นายยุทธพงศ์กล่าว  

เช่นเดียวกับ นายพัฒนา สัพโส ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย อภิปรายการจัดงบประมาณกระทรวงคมนาคม ที่พุ่งเป้าไปที่ จ.บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และนครราชสีมา โดยระบุว่า มีบางพรรคการเมืองเปิดตัวจะเอา ส.ส. 3-4 จังหวัดนี้ยกจังหวัด ยิ่งถ้าเปิดตัวสมัคร ส.ส.เมื่อไร จะเข้าใจมากขึ้นว่าใครจะไปอยู่กับใคร

 “ขอให้ กมธ.ทำหน้าที่เต็มที่ ปรับลดงบประมาณเหล่านี้ลงในวาระสอง พรรคเพื่อไทยมีนโยบายแลนด์สไลด์เพื่อไทย แต่มาวันนี้ถูกแย่งซีนโดยกระทรวงคมนาคม เป็นแลนด์สไลด์งบประมาณไปอีสานใต้ ไม่มีรัฐบาลใดกล้าทำมาก่อน” นายพัฒนากล่าว

บิ๊กตู่ลั่นวาระ 2 พร้อมปรับ

ต่อมาเวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงกรณีงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไว้ว่า ให้ความสำคัญกับพนักงานสอบสวน เพื่อความก้าวหน้าจึงแก้ไขระเบียบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจ ต้องผ่านการดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวนมาก่อน และจะบรรจุพนักงานสอบสวนเพิ่ม 1,700 นาย รวมพนักงานสอบสวน 1.3 หมื่นนาย พร้อมกับบรรจุผู้ช่วยพนักงานสอบสวนชั้นประทวน 3,500 นาย เพื่อแบ่งเบาภาระจากคดีที่เพิ่มขึ้น

  “งบประมาณของตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่สมาชิกบอกไม่มีความจำเป็น รวมถึง รร.ตำรวจตระเวนชายแดน ภารกิจหลักคือป้องกันไม่ให้รุกล้ำอธิปไตย ดูแลผลประโยชน์ชาติ พัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อดูแลประชาชนในถิ่นทุรกันดาร ยากที่ครูทั่วไปจะเข้าไปปฏิบัติภารกิจได้ งบประมาณ 3 พันล้านบาท จึงเหมาะสม ขอให้นึกถึงหัวอกคนทำงานตามชายแดนบ้าง เขาเสี่ยงภัยทุกวัน เขาก็มีครอบครัว มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ในส่วนงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ก็พยายามใช้งบอย่างจำกัด เพื่อเตรียมพร้อมถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นอนาคต ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราประมาณการตามความจำเป็นในการจัดหา จัดซื้อยุทโธปกรณ์ 2 ปีที่ผ่านมาเราลดงบไปมากพอควร แต่ขอความเห็นใจว่าการจัดทำงบพวกนี้ต้องจัดทำแผนงานไว้ล่วงหน้า ไม่สามารถปล่อยให้หมดอายุแล้วค่อยจัดหา แต่ในเมื่อท่านบอกแพงก็ซื้อเท่านี้ก่อน

 “ขอให้เข้าใจกันบ้าง ไม่ใช่ว่าผมอยากซื้อไม่สนใจประชาชน ถ้าพูดกันแบบนี้จะอยู่กันอย่างไร ผมไม่ได้โทษใคร แต่อยากพูดให้ฟัง” นายกฯ กล่าว

เวลา 14.00 น. นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายงบกระทรวงกลาโหม ระบุว่า แม้งบภาพรวมการจัดซื้ออาวุธลดลง แต่งบบุคลากร จำพวกเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง สวัสดิการต่างๆ เพิ่มจาก 45% เป็น 54% โดยเฉพาะกองทัพบกเพิ่มจาก 52% เป็น 62% รวมแล้วกว่า 19,000 ล้านบาท เพราะมีนายพลมากเกินไป โดยเฉพาะงบทหารเกณฑ์ มีความจำเป็นอย่างไรถึงลดไม่ได้ เพื่อไปพัฒนางานด้านอื่นของกองทัพ

พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ชี้แจงว่า งบเพิ่มขึ้นจริง แต่เป็นการเลื่อนชั้นเงินเดือน และเป็นเงินบำเหน็บตามสิทธิ์ ไม่ได้เพิ่มงบเนื่องจากกำลังพลเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด รวมทั้งขณะนี้เรามีแผนปรับลดภายใน 10 ปี หรือภายใน ก.ย.70 ต้องลดให้ได้ 5 เปอร์เซ็นต์ ถ้าทำได้จะทำให้กำลังพลลดไป 12,000 นาย ประหยัดงบบุคลากรได้ 2,100 ล้านบาท ยืนยันที่กองทัพเตรียมกำลังพลไว้เพื่อรักษาความมั่นคงและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ใช่เตรียมไว้เพื่อรบกับใคร 

เวลา 15.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงว่า การจัดสรรงบประมาณที่ระบุว่าให้บางจังหวัดมาก ข้อเท็จจริงเป็นการเสนอมาตามขั้นตอน หากจัดสรรให้ได้ จะจัดสรรให้ ทั้งนี้ การลงพื้นที่พบว่าบางจังหวัดผู้ว่าฯ หอการค้าของบหากจัดสรรงบกลางให้ได้ จะดำเนินการให้ไม่ต้องกังวล ทั้งนี้สิ่งที่ตนดำเนินการนึกถึงประชาชนและคำนึงถึงกฎหมายที่มีอยู่ ไม่ได้มุ่งหวังมีผลประโยชน์ใดๆ โดยตนขอแค่ให้ร่วมมือกันและดำรงสถาบันหลักของชาติ

“หากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2566 ผ่าน ในวาระสองกรรมาธิการต้องปรับแผนต่างๆ เพิ่มขึ้น งบที่น้อย ที่ถูกปรับลดต้องจัดสรรให้ รัฐบาลต้องดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ผมขอขอบคุณด้วยใจจริง ไม่มีโกรธเป็นการส่วนตัว”

จากนั้นเวลา 15.45 น. ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์เดินทางออกจากรัฐสภา ได้กล่าวถึงภาพรวมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 66 ตลอดช่วง 3 วันที่ผ่านมาว่า ขึ้นอยู่กับประชาชน ให้ประชาชนเป็นคนมอง แล้วเราก็พูดกับประชาชนด้วย ประชาชนเป็นคนมอง เป็นคนตัดสินใจว่าตนทำอะไรไปแล้วบ้าง 

ฝ่ายค้านยื่นซักฟอก 15 มิ.ย.

เวลา 16.55 น. หลังจาก ส.ส.ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลได้สลับกันลุกขึ้นชี้แจงอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงเวลาพรรคเศรษฐกิจไทยอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2566 นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้สอบถามส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทยที่ส่งรายชื่อเตรียมอภิปรายมาหลายคนว่าจะใช้เวลาการอภิปรายของฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เพราะไม่ได้แจ้งมา แต่ปรากฏว่าไม่มี ส.ส.พรรคเศรษฐกิจคนใดชี้แจง ทำให้นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และวิปรัฐบาล ลุกขึ้นชี้แจงแทนว่า ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทยจะใช้เวลาของฝ่ายรัฐบาลในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ

เวลา 17.10 น. น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยระบุว่า ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2566 ขอเรียกร้องให้ส่งตัวแทนหรือผู้เกี่ยวข้อง ส่วนราชการในพระองค์ที่ขอรับงบกว่า 8 พันล้านบาทนั้น มาชี้แจงต่อกรรมาธิการว่า นำงบไปใช้ในส่วนใดบ้าง

 “การอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเมื่อปี พ.ศ.2565 หลังอภิปรายจบ ได้ถูกร้องเรียนว่าเข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในครั้งนี้จึงขอเรียกร้องให้ประธานสภาฯ วินิจฉัยว่า ส.ส.มีเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญในการอภิปรายงบประมาณในทุกหน่วยงานที่ขอรับงบประมาณได้หรือไม่ หรือมีการห้ามไม่ให้อภิปรายบางหน่วยงานหรือไม่” ส.ส.พรรคก้าวไกลรายนี้ระบุ 

อย่างไรก็ดี นายสุชาติชี้แจงว่า เราอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ การประชุมสภาก็อยู่ภายใต้ข้อบังคับ เราได้ปฏิบัติตามข้อบังคับ 

เมื่อเวลา 20.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางกลับเข้ารัฐสภาอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมประชุมสภา โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ดูเหมือนว่าการพิจารณาในวาระแรกวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็คาดว่าแบบนั้น ก็ต้องช่วยกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า การพิจารณาในวาระ 2 และ 3 มีอะไรน่าหนักใจหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็อย่าเพิ่งไปคิดอะไรให้มันล่วงหน้ามากนัก มันไกลไป

วันเดียวกัน นพ.ชลน่านกล่าวถึงการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลว่า ที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติจะยื่นญัตติในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ โดยนัดหมายกับฝ่ายเลขาฯ ของประธานสภาฯ ส่วนเวลาจะแจ้งกลับมาอีกที สำหรับรายชื่อผู้ถูกอภิปราย จะสรุปในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ว่าจะมีใครบ้าง

“ขณะนี้ให้แต่ละพรรคไปเขียนญัตติของแต่ละพรรค โดยที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้สรุปและเขียนญัตติรวมเพื่อยื่นร่วมกัน ซึ่งจะมีรายละเอียดผู้ถูกอภิปราย ข้อกล่าวหา ผู้ที่จะอภิปราย และเวลาที่จะใช้ เวลานี้จะยังไม่เปิดชื่อ เพราะพรรคเพื่อไทยก็ยังมีรายชื่อบุคคลอยู่มาก แต่ที่จะยื่นแน่นอนคือ พล.อ.ประยุทธ์” นพ.ชลน่านกล่าว

ถามถึงการพิจารณาร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับ จะมีความชัดเจนอย่างไร นพ.ชลน่านกล่าวว่า เราขอเลื่อนการพิจารณามาเป็นวันที่ 9-10 มิ.ย. แต่วิปรัฐบาลไม่เห็นชอบด้วย โดยวันดังกล่าวจะเป็นการพิจารณากฎหมายปฏิรูปตำรวจ ดังนั้นคาดการณ์ว่าเมื่อพิจารณากฎหมายฉบับนี้เสร็จ จะนำกฎหมายลูก 2 ฉบับเข้าสู่วาระการพิจารณาในที่ประชุมสัปดาห์ถัดไป ถ้ากฎหมายปฏิรูปตำรวจยังไม่เสร็จ ก็ต้องรอให้เสร็จก่อน โดยกฎหมายฉบับนี้ค่อนข้างยาว มีกว่า 100 มาตรา แต่ทางประธานสภาฯ เปิดโอกาสแล้วว่าจะมีการประชุมร่วมทุกสัปดาห์ ดังนั้นเมื่อกฎหมายปฏิรูปเสร็จเมื่อไหร่ก็จะพิจารณากฎหมายลูก 2 ฉบับต่อ

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านมีมติจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ไม่ว่าฝ่ายค้านจะยื่นวันนี้ หรือว่าหากยังหาข้อมูลไม่ได้แล้วจะเลื่อนไปยื่นปีหน้าแทน เพื่อไม่ให้เสียหน้าหลังโหมโรงมาแล้วหลายรอบ รัฐบาลก็พร้อมชี้แจงเสมอ เพราะรัฐบาลมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด และจะใช้โอกาสนี้ชี้แจงฝ่ายค้านด้วยว่าที่ผ่านมาได้บิดเบือนข้อเท็จจริงอะไรไปบ้าง เพื่อคลายความสับสนให้กับประชาชน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย! เศรษฐาห่วงใยสุขภาพประชาชน

นายกฯ ห่วงใยสุขภาพพี่น้องประชาชนจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ขอให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อนทางตอนบนของประเทศไทย ช่วง 3 - 7 พ.ค.นี้