กกร.เพิ่มเป้าจีดีพี ปีนี้โต0.5-1.5% รับเปิดประเทศ

กกร.เพิ่มเป้าจีดีพีปีนี้โต 0.5-1.5% จากเดิม 0-1% อานิสงส์เปิดประเทศ-มาตรการคลายล็อก ฟื้นเชื่อมั่นผู้ประกอบการและประชาชน "สุพัฒนพงษ์" ลั่นยังมีหวังเศรษฐกิจไทยปีหน้าขยับขึ้น 5-6% หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังการประชุม กกร. ว่าที่ประชุมปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2564 คาดว่า จะขยายตัวในกรอบ 0.5% ถึง 1.5% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 0-1% เนื่องจากนโยบายการเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา รวมถึงการผ่อนคลายล็อกดาวน์ และการเปิดให้จัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ผู้ประกอบการและนักลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีได้

ขณะที่ภาคการส่งออก กกร.ยังคงคาดว่ามีแนวโน้มจะขยายตัว 12.0% ถึง 14.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0% ถึง 1.2% ซึ่งมองว่าตัวเลขนี้อยู่ในเงื่อนไขที่ไม่มีการระบาดซ้ำเพิ่มเติมและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นายสนั่นกล่าวว่า การเปิดประเทศและการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและประชาชนถึงความพร้อมของประเทศไทยในการอยู่ร่วมกับโควิด-19 ซึ่งเริ่มเห็นได้จากข้อมูลเร็ว หรือ High Frequency Data เช่น การค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการเดินทางในจังหวัดท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงคาดการณ์อัตราการเข้าพักที่ผู้ประกอบการโรงแรมมองว่าจะขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ในเดือน พ.ย. เทียบกับ 15% ในเดือน ก.ย. ประกอบกับการจับจ่ายใช้สอยในภูมิภาคดีขึ้น

ส่วนภาคการค้าปลีกมองว่าผ่านจุดต่ำสุดที่ไตรมาส 3 มาแล้ว สอดคล้องกับมุมมองของนักธุรกิจต่างชาติในประเทศไทย ที่เชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งสัญญาณเหล่านี้ทำให้คาดการณ์ว่าภาพเศรษฐกิจในช่วงปลายปีจะมีความคึกคักมากขึ้น และพร้อมๆ กับมาตรการสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศของภาครัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่ง และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน

ทั้งนี้ จากการเตรียมการของผู้ประกอบการเพื่อรับการเปิดเมือง ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวจากการคลายมาตรการล็อกดาวน์ช่วงที่ผ่านมา โดยภาคเอกชนยังหวังว่าภาครัฐจะเสริมมาตรการด้วยมาตรการช้อปดีมีคืน จะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจในปลายปีนี้กลับมาคึกคักมากขึ้นและต่อเนื่องไปยังปีหน้า

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทางภาคเอกชนเห็นว่าหากภาครัฐมีการผ่อนคลายและโปรโมตกิจกรรมเทศกาล ทั้งงานลอยกระทง และงานปีใหม่ได้ จะเป็นตัวเสริมให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจดีขึ้น พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้นักเดินทางทั้งในและต่างประเทศ โดยควรย้ำว่าต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันความเสี่ยงในขณะนั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเป็นการระบาดด้วย

วันเดียวกัน นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน เปิดเผยในโอกาสปาฐกถาพิเศษ Boost Up Thailand 2022 ทุบโจทย์ใหม่เศรษฐกิจไทย ซึ่งจัดโดยบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ว่าขณะนี้ประเทศไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ด้วยการทำงานของทุกภาคส่วนที่ต้องแข่งกับเวลาในช่วงที่ยากลำบาก เพื่อสร้างความเชื่อมั่น โดยปี 2565 ประเมินเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตได้ 5-6% แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่าจะกลับมาระบาดอีกหรือไม่ เป็นปัจจัยเสี่ยง ที่สำคัญคือทุกคนทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชนต้องร่วมมือกันรักษาวินัยการควบคุมการแพร่ระบาด การเว้นระยะห่างทางสังคมตามแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุข เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ

"แม้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้อาจไม่ได้โตถึง 4% ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีเชื้อโควิด-19 ระบาดเกิดขึ้นอย่างรุนแรง วันนี้เราจะต้องเริ่มกันใหม่ โดยใช้บทเรียนที่ผ่านมาปรับการทำงานเชิงรุกต่อเนื่อง ทำให้มีการเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และนำมาสู่การเปิดประเทศในที่สุดเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นจุดเริ่มต้นกันอีกครั้งบนความมั่นใจ แต่ทุกคนต้องเริ่มด้วยความเข้าใจว่าต้องรักษาวินัยการควบคุมการแพร่ระบาด" นายสุพัฒนพงษ์ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชงไทยบี้เมียนมา งดขายน้ำมันให้ เจรจาสันติภาพ

"โรม" เสนอให้ไทยงดขายน้ำมันให้ "เมียนมา" ปูดใช้ไทยฟอกเงินเครือข่ายซื้ออาวุธที่ใช้ปฏิบัติการ เตือนถูกดึงไปเอี่ยวร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์