กกร.ห่วง3ต้นทุนธุรกิจพุ่ง วอนทยอยขึ้นค่าไฟ2ขยัก

กกร.ชี้เงินเฟ้อยังเป็นปัญหาหลัก จากแรงกดดันค่าเงินบาทอ่อน-น้ำมันแพง-ค่าแรงเพิ่ม ห่วงภาพรวมเศรษฐกิจส่อแววดิ่ง แต่ยังเชื่อมั่นการเปิดประเทศช่วยพยุง คงเป้าจีดีพีปีนี้ 2.75- 3.5% แนะปรับค่าไฟ 2 รอบ บรรเทาผลกระทบ ปชช.

เมื่อวันที่ 7 กันยายน นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือน ก.ย.2565 เปิดเผยว่า แรงกดดันเงินเฟ้อยังสูง ขณะที่ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง และค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้นในเดือน ก.ย. ขณะที่คณะกรรมการค่าจ้างได้ปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เพิ่มแรงกดดันต่อการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในประเทศ นอกจากนี้ ค่าเงินบาทกลับมามีทิศทางอ่อนค่าลงภายหลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยแรงต่อจากแนวโน้มส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินบาทกับดอลลาร์ที่จะมีมากขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าของไทยยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และการนำเข้าสินค้าเพื่อการผลิตลดลง

นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์มีเพิ่มขึ้นจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ล่าสุดเป็นการระงับส่งก๊าซชั่วคราวของรัสเซียซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อวิกฤตพลังงานในยุโรป ปัญหาด้าน supply chain ในประเทศจีน ทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงที่จะชะลอตัวกว่าที่คาด เศรษฐกิจยุโรปได้เข้าสู่ภาวะถดถอยในครึ่งปีหลัง ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อของหลายประเทศต่างอยู่ในระดับสูงเป็นภาวะ stagflation

ที่ประชุม กกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้จากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศที่ตามมา แต่จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ตลาดต่างประเทศที่ชะลอตัวอย่างใกล้ชิดขึ้น โดยที่ประชุม กกร.คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ซึ่งจะขยายตัวได้ในกรอบ 2.75% ถึง 3.5% ขณะที่มูลค่าการส่งออกคาดว่ายังขยายตัวได้ในกรอบ 6.0% ถึง 8.0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในกรอบ 5.5% ถึง 7.0%

อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวและมาตรการภาครัฐเป็นแรงส่งเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวชัดเจนขึ้น โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือน ก.ค.อยู่ที่ 1.12 ล้านคน คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2565 มีโอกาสแตะระดับ 9-10 ล้านคน และในระยะข้างหน้ายังจะได้อานิสงส์จากการขยายเวลาวีซ่านักท่องเที่ยวเป็น 45 วัน ประกอบกับยังมีแรงหนุนกำลังซื้อจากมาตรการคนละครึ่งระยะที่ 5 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศท่ามกลางภาวะความเสี่ยงหลายประการ อย่างไรก็ดี ต้องติดตามการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ลดลงกว่าเดิม

นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร.มีความกังวลในเรื่องต้นทุนของภาคธุรกิจ ที่จะเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า 1.การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าจาก 4 บาท เป็น 4.72 บาท/หน่วย ที่จะมีผลบังคับใช้ในรอบเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2565 จะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนการประกอบการ โดยภาคอุตสาหกรรมมีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 20-30% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด และในส่วนของภาคบริการ เช่น ธุรกิจโรงแรม มีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเกือบ 30% ของต้นทุนทั้งหมด 2.การปรับขึ้นค่าธรรมเนียม FIDF ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เดือน ม.ค.2566 ที่จะส่งผ่านไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สูงขึ้น 3.ต้นทุนด้านแรงงาน จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565 และรวมถึงการขาดแคลนแรงงานที่เป็นปัญหาสำคัญของภาคธุรกิจ       

"ต้นทุนที่สูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจที่ยังมีความเปราะบาง ที่ประชุม กกร.จึงขอเสนอให้ภาครัฐพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบในการปรับขึ้นปัจจัยต้นทุนที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบการอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ขอให้ทยอยการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าออกเป็น 2 ระยะ แทนการปรับขึ้นครั้งเดียว เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งควรรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนการประกอบการดังกล่าว" นายผยงระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง