‘ป้อม’แบไต๋พปชร.ฮั้วศท. เสื้อแดงอุดรยี้‘อีโตอี้สาน’

“ชลน่าน” ปากเจ่อ “วิษณุ” ซัดคงคิดว่ามีปัญญาพาคนแดนไกลกลับ “ธนกร” สำทับอย่าทำตัวเป็นหมอเดาดีกว่า "แรมโบ้" เชียร์ซูเปอร์โพลสุดลิ่ม ทั้งเรื่องผู้นำในดวงใจและพรรคที่พาชาติสงบ “ประวิตร” ประกาศพลังประชารัฐพร้อมหลีกทางให้เศรษฐกิจไทยในพื้นที่ภาคเหนือ! ส่วนเรื่องย้ายกลับมายังไม่ขอพูด “เมืองหลวงเสื้อแดง” ระอุ พาเหรดยี้ “อีโต้อีสาน” ลงสมัคร ส.ส.

เมื่อวันจันทร์ที่ 12 กันยายน ยังคงมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองในหลายภาคส่วน โดยนายวิษณุ เครืองาม  รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว  ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ระบุต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พวกตนช่วยกันสร้าง เอาสิ่งที่รักที่สุดกลับคืนมา ทางกฎหมายสามารถทำได้หรือไม่ว่า ไม่ทราบ สื่อมาถามตนทำไม ตนไม่ได้เป็นคนพูดว่าจะเอากลับ คนที่เขาคิดจะเอากลับเขาก็ต้องคิดได้ว่าเขามีปัญญา

เมื่อถามว่า มีช่องทางกฎหมายเอากลับหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่รู้ ไม่ทราบ

ขณะที่นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ  พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่ นพ.ชลน่านระบุว่า 80% รัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม มีโอกาสยุบสภาผู้แทนราษฎรสูงมากหลังประชุมเอเปกว่า เป็นเพียงความคิดเห็นของฝ่ายค้านที่เฝ้านับวันนับคืนให้ถึงวันเลือกตั้งเร็วๆ  เพราะคิดว่าตัวเองจะได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง แต่อยากให้  นพ.ชลน่านเป็นหมอรักษาตามที่เรียนจบมาก็ดีอยู่แล้ว อย่าคิดเป็นหมอเดาเลยเพราะไม่น่าจะรุ่ง เดาไปเรื่อย ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้องยุบสภา แต่จะอยู่ครบเทอมเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนให้ได้มากที่สุด ขอให้พี่น้องประชาชนวางใจได้ อย่าเชื่อข้อมูลที่ทำให้สับสน ส่วนฝ่ายค้านคงต้องร้องเพลงรอไปก่อน

"ที่บอกว่ารัฐบาลจะยุบสภาเพราะจัดการ ส.ส.ในการย้ายพรรคได้นั้น ไม่อยากให้พรรคเพื่อไทยเอานิสัยของพรรคตัวเองมาเป็นตัวตั้ง แตกแบงก์พันก็ทำมาแล้ว บีบให้เขายุบพรรคมารวมกับพรรคตัวเองก็ยังทำมาแล้ว รัฐบาลไม่นิยมวิธีรวบหัวรวบหางแบบนี้ เชื่อว่ายิ่งรัฐบาลอยู่นาน ประชาชนยิ่งเห็นธาตุแท้ของฝ่ายค้าน ซึ่งฝ่ายค้านเองก็คงรู้ดี นับวันฝ่ายค้านก็เสื่อมไปเรื่อยๆ จึงต้องออกมาดิสเครดิตรัฐบาลรายวัน" นายธนกรกล่าว

ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ นั้น  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวในระหว่างลงพื้นที่ จ.ตาก ถึงกรณี ส.ส.พปชร.ที่ย้ายไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) จะลงสมัคร ส.ส.ตาก ในส่วนของ พปชร.มีการเตรียมความพร้อมวางตัวผู้สมัครอย่างไรว่า พื้นที่ไหนที่พรรค ศท.ส่งลง เราก็ไม่ลง ไม่เป็นอะไร รวมถึงในพื้นที่ภาคเหนือด้วย 

เมื่อถามว่า มีแนวโน้มพรรค ศท.จะกลับมาอยู่กับพรรค พปชร.เหมือนเดิมหรือไม่นั้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็แล้วแต่เขา ส่วนจะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่หากเขาย้ายกลับมานั้น ก็แล้วแต่เขา ขอให้ถึงวันนั้นก่อนแล้วค่อยตอบ

วิษณุตีมึนไม่รู้

นายวิษณุกล่าวถึงประเด็นพรรค พปชร.จะไม่ส่งผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ที่มี ส.ส.พรรค ศท.ว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่ว่า ไม่รู้ ไม่ได้ยิน ไม่ทราบว่า พล.อ.ประวิตรพูดอะไร ฟังจากสื่อไม่ได้หรอก เดี๋ยววิพากษ์วิจารณ์แล้วจะไปกันใหญ่

ขณะที่นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าพรรค  พปชร. กล่าวถึงกรณี ส.ส.พรรค ศท.มารอต้อนรับ พล.อ.ประวิตรในการลงพื้นที่ จ.ตากว่า ก็เป็นพวกเดียวกันหมด  เป็นเรื่องปกติ เมื่อก่อนก็อยู่พรรค พปชร.ด้วยกัน ก็คุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่ไม่ทราบเรื่องกระแสข่าวที่จะมีการรวมพรรคกัน อาจยังไม่ถึงเวลา เป็นเรื่องของพรรค ศท.ตัดสินใจ ไม่เกี่ยวกับพรรค พปชร. และการที่ ส.ส.จะย้ายพรรคหรืออยู่พรรคไหนก็เป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของแต่ละคน เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งคงมีการย้ายพรรคเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเป็นเรื่องปกติ

 “ถือเป็นเรื่องปกติทางการเมืองในการย้ายพรรค เช่น นายกรณ์ จาติกวณิช ย้ายเข้ามาร่วมทำงานเป็นทีมเศรษฐกิจของพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) เพราะรัฐธรรมนูญเปลี่ยนวิธีการเลือกตั้ง การเลือกตั้งก็เปลี่ยนด้วย ส่วนย้ายมาแล้วจะเกิดผลดีหรือไม่ต้องถามประชาชน” นายชัยวุฒิกล่าว

ส่วนนายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ กล่าวถึงซูเปอร์โพลที่สำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่องนักการเมืองในใจประชาชน ที่ส่วนใหญ่  40.7% เป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเห็นด้วยที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นนายกฯ ประยุทธ์อยู่ในใจ เพราะเป็นคนที่ทำงานให้ประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง  มีความจริงใจและเอาใจใส่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนหัวข้อพรรคการเมืองที่จะควบคุมบ้านเมืองให้สงบไม่วุ่นวาย พบว่าอันดับหนึ่งคือพรรค พปชร.นั้น เพราะประชาชนเห็นแล้วว่าพรรคการเมืองใดทำงานเพื่อประชาชน และพรรคการเมืองใดทำงานเพื่อคนในพรรคหรือนายใหญ่ ดังนั้นก็ขอให้กลุ่มเห็นต่างหรือฝ่ายค้านยอมรับและฟังความเห็นของคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศบ้าง

ซัดเป้าอุ๊งอิ๊งแค่พาญาติกลับ

 “การที่ประชาชนส่วนใหญ่เทใจให้นายกฯ ประยุทธ์นั้น  เพราะเป็นคนจริงใจในการบริหารประเทศ แก้ไขปัญหา  แตกต่างกับอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่แม้ก่อนหน้านี้จะมีผลโพลออกมาเชียร์เป็นนายกฯ ก็ตาม แต่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านเมืองเลย มีเพียงสร้างกระแสไปวันๆ ว่าหากเข้าไปเป็นรัฐบาลจะช่วยเหลือประชาชน แต่สุดท้ายหากพรรคเพื่อไทยหรืออุ๊งอิ๊งได้เข้าไปเป็นรัฐบาลนั้น ก็น่าจะหนีไม่พ้นที่ต้องทำทุกวิถีทางให้นายทักษิณ-น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หลบหนีคดีไปต่างประเทศพ้นผิดและนำกลับบ้าน”

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรค พท. กล่าวว่า หลังจากเปิดตัว 2 นโยบายดังกล่าว  ประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดีและรอคอยการประกาศนโยบายใหม่ๆ ที่ทีมนโยบายของพรรคพัฒนาอย่างรอบคอบ ซึ่งหากชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์   สิ่งที่เราคิดไว้พร้อมทำทันที ส่วนกรณีคนพรรคประชาธิปัตย์ออกมาตอบโต้ว่า น.ส.แพทองธารลอกนโยบาย ทั้งในเรื่องของคำว่าเซลส์แมนและซอฟต์เพาเวอร์ โดยระบุว่านายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ทำมาตลอดนั้น บุคคลผู้นั้นอาจไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของคำว่าซอฟต์เพาเวอร์ เพราะคือการนำวัฒนธรรม   เอกลักษณ์ หรือจุดเด่นมาเป็นจุดขาย ร่วมกับการใช้ความสมัยใหม่และเป็นสากลสร้างรายได้ ขยายไปในตลาดโลก นำรายได้เข้าสู่ประเทศ ซึ่งซอฟต์เพาเวอร์ของเพื่อไทยคือ ต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่ในวิถีชีวิต วัฒนธรรม และสังคมไทย มีความสร้างสรรค์ ความละเมียดที่ดำรงอยู่ ที่แสดงออกผ่านการปรุงอาหาร การประดิษฐ์สร้างสรรค์ หัตถกรรม ไปจนถึงงานศิลปะทุกแขนง แต่หากมาดูผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันเกี่ยวกับซอฟต์เพาเวอร์ที่นำโดยนายจุรินทร์นั้น ยังถูกตั้งคำถามเพราะที่ผ่านมาคนไทยที่มีฝีมือ หรือองค์กรภาคเอกชนล้วนดิ้นรนหาทางเติบโตเองทั้งสิ้น  

 “หากกล่าวถึงคำว่าเซลส์แมนหรือทูตการค้า บุคคลที่ริเริ่มใช้คำนี้คือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในยุครัฐบาลพรรคไทยรัก ซึ่งรัฐบาลพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย ได้คิดค้นและพัฒนาแนวคิดจากหลายภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ จนต่อยอดมาเป็นนโยบายใหม่ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ที่ล้วนเปลี่ยนชีวิตของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค, นโยบาย 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ (OTOP), โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน, บ้านเอื้ออาทร,  นโยบายพักหนี้, กองทุนพัฒนาชุมชน, กองทุน SML  จัดตั้ง TCDC และ TK Park ที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของซอฟต์เพาเวอร์ และอีกมากมาย ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เองยังเคยนำเอาโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคไปพูดบนเวทีโลก แต่พรรคเพื่อไทยไม่ได้แสดงท่าทีอื่นใดต่อการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใด” น.ส.ธีรรัตน์กล่าว

ขณะเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่  จ.อุดรธานี ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงคนเสื้อแดง โดยพบว่าในพื้นที่ อ.กุมภวาปี, อ.ศรีธาตุ และ อ.วังสามหมอ นายธีระชัย แสนแก้ว หรืออีโต้อีสาน ขึ้นป้ายแนะนำตัวเองและหาเสียงล่วงหน้า คู่กับ น.ส.แพทองธาร แต่ก็มีอีกป้ายที่ระบุว่าเป็นของกลุ่มคนเสื้อแดงกุมภวาปี มีข้อความต่อต้านนายธีระชัยว่า คนเสื้อแดงพรรคเพื่อไทยกุมภวาปีไม่สนับสนุนคนทรยศพรรคลงสมัคร ส.ส.ในเขตกุมภวาปี ไม่สนับสนุนคนหักหลังคนเสื้อแดงมาลงสมัครในนามพรรค

เป็นที่น่าสังเกตว่าก่อนหน้านี้ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ที่ลาออกจากพรรค พปชร.ย้ายกลับเข้าพรรค พท. ต่อมาพรรค พท.เปิดตัวนายบุญจงเพื่อลงสมัคร ส.ส.นครราชสีมา แต่ถูกสมาชิกพรรคและคนเสื้อแดงต่อต้านอย่างรุนแรง จนทำให้นายบุญจงประกาศถอนตัวในที่สุด

ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล นำทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรค​ลงพื้นที่พบปะประชาชนในพื้นที่ จ.แพร่​ โดยนายพิธา​กล่าวว่า เดินทางมาที่แพร่ครั้งนี้มีความฝังใจ ไม่ใช่เพราะลาบอร่อย  เหล้ามีรสชาติดี หรือพี่น้องประชาชนกว่า 127,711  คน หรือครึ่งจังหวัดให้ความไว้วางใจเลือกเราในสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ แต่สิ่งที่ฝังใจมากสุดนั้นคือ จ.แพร่คือที่สุดท้ายที่เรามาก่อนที่พรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบ เพราะตอนนั้นเราอยากทำ 3 เรื่องสำคัญให้เกิดขึ้นในจังหวัดแพร่  คือทำให้ จ.แพร่เป็นเมืองหลวงของสุราก้าวหน้า การมีเบี้ยดูแลป่าสำหรับชาวแพร่ ในฐานะเป็นผู้ดูแลทำให้มีพื้นที่ป่าไม้เป็นอันดับ 2 ของประเทศ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาของคนแพร่

 “เราเชื่อว่าถ้าสิ่งเหล่านี้สามารถปลดล็อกได้ จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้พี่น้องชาวแพร่ได้อย่างมหาศาล และถึงวันนั้น ลูกหลานคนแพร่ก็ไม่ต้องไปหางานในกรุงเทพฯ หรือต่างประเทศ แต่ทุกคนจะกลับมาทำงานอยู่ที่บ้านเกิดอย่างภาคภูมิใจ เพราะมีสินค้าที่ดีที่สุดที่ส่งขายไปทั่วโลก" นายพิธา​กล่าว

ทสท.โวเดินหน้า 'ทำให้' ปท.

น.ส.ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย  (ทสท.) กล่าวว่า หลังจากที่พรรคมีการลงมติเลือกให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นหัวหน้าพรรค เมื่อวันที่ 9  ก.ย. พรรคก็ได้เดินหน้าตั้งคณะทำงานนโยบายเพื่อเปลี่ยนประเทศ โดยการปลดล็อกปัญหาทั้ง 4 ข้อ ที่หัวหน้าพรรคได้ประกาศไว้ตามหลักการปลดปล่อยและเพิ่มอำนาจให้ประชาชน พร้อมย้ำจุดยืนก้าวข้ามความขัดแย้ง เสนอตัวเป็นทางออกวิกฤตประเทศ โดยคณะทำงานนโยบายด้านที่หนึ่งเพื่อปลดล็อกปัญหาวิกฤตการเมืองไทยที่มีความขัดแย้ง ติดกับดักขั้วอำนาจทางการเมืองที่ต่อสู้กันไปมาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว มุ่งเสนอให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่บัญญัติให้คนล้มล้างรัฐธรรมนูญเป็นกบฏและได้รับโทษสูงสุด

น.ส.ธิดารัตน์กล่าวอีกว่า คณะทำงานนโยบายด้านต่อมาเพื่อปลดล็อกรัฐราชการที่ใหญ่โตซับซ้อน คืนอำนาจให้ประชาชน เปลี่ยนบทบาทให้รัฐเป็นหุ้นส่วนกับประชาชนแทนการเป็นนายประชาชน คณะทำงานนโยบายด้านที่สามคือ การปลดล็อกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการทำมาหากินของประชาชน โดยการพักใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการอนุมัติ อนุญาต รวมถึงโทษอาญาหรือทางปกครองไว้ชั่วคราวประมาณ 1,300 ฉบับ เป็นเวลา 3-5 ปี  ควบคู่กับการทำกิโยตินกฎหมายเพื่อให้ประชาชนลุกขึ้นมาทำมาหากินได้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอการอนุมัติ อนุญาตที่ล่าช้าและเป็นช่องทางทุจริต และคณะทำงานด้านที่สี่คือ การปลดล็อกจากการทุจริตคอร์รัปชัน เห็นได้จากการที่องค์กรความโปร่งใสนานาชาติปี 2565 รายงานว่าประเทศไทยได้คะแนน 35 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน  เป็นอันดับที่ 110 จาก 180 ประเทศ

 “พรรคไทยสร้างไทยมีเจตนารมณ์เข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศอย่างจริงจัง กว่า 90 ปีที่ประชาธิปไตยไม่สามารถเบ่งบานได้อย่างเต็มที่ เพราะเราติดกับดักปัญหาพื้นฐานเหล่านี้ทั้งสิ้น เราขออาสาเป็นตัวเลือกเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ดังที่หัวหน้าพรรคได้กล่าวไว้ว่า เราขอทำให้ ไม่ใช่ทำเอา” โฆษกพรรคไทยสร้างไทยระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง