สันธนะโผล่อัด วาระการเมือง ทลายแก๊ง‘จีน’

ตำรวจขยายผลรถหรูผับจินหลิง เข้าตรวจค้นคอนโดฯ หรูย่านคลองสาน-สาทร ทรัพย์สินอื้อทั้ง “รถ-เหล้า-แบรนด์เนม” มูลค่ากว่า 150 ล้าน สตม.ร้อนรีบแจงผลงานปราบคนต่างด้าว “ชูวิทย์”  ยกนิ้วตำรวจทำงานฉับไว “สันธนะ” โผล่บอกเป็นใบสั่งทางการเมือง 

เมื่อวันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน ยังคงมีการขยายผลต่อเนื่องจากการจับกุมนักท่องเที่ยวชาวจีนปาร์ตี้ยาเสพติดในผับจินหลิง พื้นที่ สน.ยานนาวา โดยล่าสุด พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ในฐานะรองหัวหน้าชุดคลี่คลายคดี ได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นภายในคอนโดฯ หรูริมแม่น้ำ ภายในซอยสมเด็จเจ้าพระยา 17 เขตคลองสาน โดย พล.ต.ต.พนัญชัยระบุว่า การตรวจผับจินหลิงเมื่อวันที่ 25 ต.ค. พบรถยนต์หรูภายในลานจอดรถ 31 คัน โดยไม่มีผู้มาแสดงตัวเป็นเจ้าของรถ จึงได้สืบสวนขยายผลจากรถโรลส์-รอยซ์ 1 ใน 31คัน พบว่าเจ้าของคือนายหวัง เจิ้นหนาน  ชาวจีน อายุ 21 ปี จึงขออนุมัติศาลออกหมายค้นคอนโดฯ หรูแห่งนี้

จากการตรวจค้นพบของกลางเป็นเงินสดกว่า 19 ล้านบาทอยู่ในตู้เซฟ พร้อมทรัพย์สินอีกจำนวนหนึ่ง อาทิ ไวน์ขวดละ 2 แสนบาท 1 ขวด, รถยนต์โรลส์-รอยซ์  2 คัน, รถเบนซ์มายบัค 1 คัน และรถเบนซ์เอแอล AMG 1 คัน ซึ่งเบื้องต้นตรวจสอบพบว่ารถบางคันมีการสวมทะเบียน และจากนี้จะตรวจสอบว่ารถทั้งหมดถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากพบว่าบุคคลที่เป็นเจ้าของรถมีภูมิลำเนาอยู่แถบภาคเหนือบนพื้นที่สูง ทั้งนี้ ทรัพย์สินทั้งหมดที่มี 21 รายการ มูลค่ารวม 150 ล้านบาท ส่วนภายในห้องพักพบชาวชาติพันธุ์ 2 คน เป็นผู้ดูแลห้องพัก โดยตำรวจจะนำตัวไปสอบสวนขยายผลว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือไม่ นอกจากนี้ตำรวจยังได้เข้าตรวจค้นห้องพักภายในคอนโดฯ หรูย่านสาทร พบยาเสพติดจำนวนหนึ่ง เครื่องใช้แบรนด์เนมหรูและสุราจำนวนมาก โดยมีราคาแพงสุดขวดละ 2 ล้านบาท

ทั้งนี้ การตรวจสอบพบว่านายหวัง เจิ้นหนาน เดินทางเข้าไทยด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว และไม่พบว่ามีประวัติอาชญากร จึงไม่ใช่บุคคลเฝ้าระวัง และจากการตรวจสอบพบอีกว่าเป็นหลานชายของนายตู้เห่า เจ้าของผับจินหลิง และหนีออกนอกประเทศไปแล้ว เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ด้วยเครื่องบินส่วนตัว ออกจากสนามนานาชาติภูเก็ต ปลายทางประเทศสิงคโปร์

ด้าน พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) แถลงข่าวการกวาดล้างผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ระหว่างวันที่ 5-31 ต.ค. ว่าเน้นการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการอยู่เกินกำหนดอนุญาต หรือความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยสามารถจับกุมคนต่างด้าวอยู่เกินกำหนด 719 คดี ได้ผู้ต้องหา 779 คน มีคดีสำคัญ เช่น การจับกุมนายบุนซู อายุ 62 ปี ชาวเกาหลี ซึ่งมีพฤติกรรมหลอกลวงลงทุนที่ประเทศเกาหลีใต้ ในความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งมีผู้เสียหายหลงเชื่อสูญเงินกว่า 3,558 ล้านวอน หรือประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งนายบุนซูเข้าไทยเมื่อต้นปี 2563 และได้รับการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวถึง 18 เม.ย.2565 จึงถือว่าการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลง จากนี้จะประสานส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่เกาหลีใต้

พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ระบุอีกว่า สตม.กวาดล้างต่างด้าวผิดกฎหมายต่อเนื่อง ส่วนการปฏิเสธคนเข้าเมือง ถือเป็นกระดุมเม็ดแรกของเข้าเมือง ดูแลมาโดยตลอด ปีที่แล้วปฏิเสธการเข้าเมือง 8,429 คน เฉพาะเดือน ต.ค. ปฏิเสธไปแล้ว 606 คน ย้ำว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังจากนี้ต้องเข้มงวดขึ้น

สำหรับกรณีพบคนจีนเข้ามากระทำความผิดในไทย จะยื่นขอวีซ่าประเภทนักเรียนนักศึกษา พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ยืนยันว่า ที่ผ่านมาเข้มงวดอยู่แล้ว และขณะนี้ได้ทำหนังสือสั่งการกำชับเจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบว่าเข้าไทยมาตามวัตถุประสงค์หรือไม่ ยอมรับว่ามีบางส่วนที่เล็ดลอดหลุดออกมาได้ ก็จะพยายามแก้ไขให้เกิดความบกพร่องน้อยที่สุด ส่วนหลังจากนี้จะต้องมีปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการขอวีซ่าประเภทนักเรียนนักศึกษาหรือไม่นั้น ต้องหารือร่วมกับหลายหน่วยงาน เนื่องจาก สตม.ไม่ใช่หน่วยงานเดียวที่ดูแลคนเดินทางเข้าประเทศ

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมืองโพสต์เฟซบุ๊กว่า นานๆ ทีขอชมตำรวจที่เอาจริงกับกลุ่ม 5 เสือ ทุนจีนสีเทาที่ให้ข้อมูลไป เพราะมีการทำงานรวดเร็ว ไม่มีเบรก ซึ่งหากจะปราบมังกรจีนเทาเหล่านี้ได้ ตำรวจไทยต้องเร่งตั้งหน่วยงานปราบปรามจีนเทา เช่นเดียวกับรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีการตั้งหน่วย ASEAN Law Enforcement เพื่อปราบปรามบรรดาคนเอเชีย โดยเฉพาะที่เข้ามาก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบ

 “จีนเทาคือปัญหาหนักของเรา เพราะพื้นฐานจีนเทามักจะมีพฤติกรรม จับกลุ่มก้อน พวกนี้ไม่ใช่จีนดี แต่เป็นพวกจีนปลายแถวที่หากินในประเทศตัวเองไม่ได้ ต้องออกมาหากินตามรอยตะเข็บ และที่ไทยคือสวรรค์ของการฟอกเงิน ข้อมูลชุดนี้ผมได้รวบรวมมานาน ได้ส่งผ่านไปถึงมือ รอง ผบ.ตร.ทั้งสองท่าน มั่นใจว่าไม่มีเสียของ เพราะท่านยืนยันรับปากกับผมเอง” นายชูวิทย์กล่าว และว่า พวกนี้เหมือนหนูที่อยู่กันเป็นรัง และจมูกไว แค่ตำรวจบุก ก็รีบเทขายหุ้นหนีกันแล้ว

วันเดียวกัน ที่สถานกักตัวคนต่างด้าว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซอยสวนพลู นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล เดินทางมาเพื่อขอยื่นประกันตัวนายเดวิด เจ้าของผับ Baby Face ย่านเอกมัย หลังถูกเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นบ้านพักภายในซอยสุขุมวิท 63 พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินเป็นรถยนต์หรู 3 คัน สุรา และบุหรี่จำนวนมาก

นายสันธนะกล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์เอ่ยถึงแก๊งกุมารจีน 5 คนว่า รู้จักคนเหล่านี้ไหม เพราะตนรู้จักกับคนจีนทั้ง 5 คน ซึ่งการพูดลักษณะนี้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะมีคนจีนที่รู้จัก พูดว่าไม่ใช่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และไม่ได้ค้ายา  ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ปิดประเทศ ไม่ต้องต้อนรับคนจีนแล้ว ไล่ออกไปให้หมด

 “เชื่อว่าการกวาดล้างกลุ่มทุนจีนน่าจะมาจากใบสั่งทางการเมือง ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาไปถึงกลุ่มนายทุนจีนจ้าวเหว่ยกับธุรกิจสีเทาในไทย มองว่าบุคคลที่ถูกอ้างถึงนั่นไม่ได้อยู่ในเมืองไทย จึงไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายในประเทศ ซึ่งยืนยันว่าขณะนี้นายเดวิดและกลุ่ม 5 เสือที่ถูกพาดพิงถึง อยากออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ยังไม่มีโอกาส ผมจึงออกมาชี้แจงแทนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้คนกลุ่มนี้”.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง