วิกฤตพลังงาน ราคาก๊าซพุ่งขึ้น จ่อคุมเข้มใช้ไฟ

ไทยเตรียมรับวิกฤตพลังงานระลอกใหม่! กพช.จับตาก๊าซพุ่งแตะ 50 เหรียญสหรัฐฯ เหตุชนวนสงครามรัสเซีย-ยูเครนไร้ทางยุติ ขีดเส้น 2 สัปดาห์จ่อยกระดับมาตรการประหยัดไฟคุมเข้มทันที เล็งกำหนดเวลาปิดปั๊ม-ห้าง พร้อมเคาะแผนพยุงค่าไฟฟ้าปีหน้า

เมื่อวันจันทร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)  ครั้งที่ 7/2565 ว่า ในการประชุม กพช.มีหลายอย่างที่เป็นมาตรการที่เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ในวันนี้ ซึ่งสถานการณ์วันนี้วิกฤตกับทุกประเทศในโลก หลายๆ อย่างที่รัฐบาลใช้เวลาในช่วงที่ผ่านมา และเวลานี้เราต้องปรับตัวให้สามารถรับมือสถานการณ์วิกฤตต่างๆ เพราะเราเป็นห่วงโซ่เดียวกันในหลายภูมิภาค  ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน เศรษฐกิจต่างๆ รัฐบาลก็ขอใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและประเทศยูเครนที่ยังไม่มีข้อยุติ ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกมีความผันผวน และปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูงจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของหลายประเทศทั่วโลก โดยทำให้เกิดการตึงตัวของอุปทานก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดีเซล รวมถึงการอ่อนตัวของค่าเงินบาท

นายกุลิศกล่าวว่า ทั้งนี้ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบมาตรการบริหารจัดการพลังงานในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.65 เพื่อดูแลลดผลกระทบค่าไฟฟ้าในปี 2566 พร้อมทั้งยังได้เห็นชอบมาตรการสมัครใจการขอความร่วมมือประชาชนทั่วไปและภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ สถานีบริการน้ำมัน ห้าง ร้านสะดวกซื้อ สถานประกอบการ ในการประหยัดพลังงาน ซึ่งระหว่างนี้มีความเป็นไปได้ว่าในช่วงฤดูหนาวของยุโรป หากราคาก๊าซ LNG เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูขึ้นไป หากเกิดกรณียาวนานต่อเนื่อง  2 สัปดาห์ จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 28-29 เหรียญต่อล้านบีทียู จะยกระดับมาตรการนี้เป็นมาตรการภาคบังคับทันที

"ตอนนี้ราคาก๊าซอยู่ที่ 29 เหรียญต่อล้านบีทียู ก็ถือว่าสูงมากแล้ว แต่หากราคาก๊าซ LNG สูงขึ้นตั้งแต่  50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูขึ้นไปต่อเนื่อง 2 สัปดาห์  เราได้วางมาตรการบังคับไว้ ซึ่งโดยขั้นตอนนายกรัฐมนตรีสามารถประกาศใช้ทันที เพราะประเทศต่างๆ ทั่วโลกหลายแห่งได้ดำเนินการแล้ว เพราะรัสเซีย-ยูเครนไม่มีท่าทีได้ข้อยุติ เราก็ยังคาดหวังว่าจะไม่ต้องใช้มาตรการบังคับ  ซึ่งต้องดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ระหว่างนี้ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ร่วมกันหารือ" นายกุลิศกล่าว

ด้านนายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า จากการที่รัสเซียตัดการส่งขายก๊าซธรรมชาติให้สหภาพยุโรป (EU)  ทำให้อียูต้องหันมาแย่งซื้อ LNG ในตลาดเอเชียและดันราคาสูงขึ้น จนส่งผลให้ราคา LNG ตลาดจรซื้อขายล่วงหน้าช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2565 อยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู ระหว่างนี้จึงต้องวางมาตรการรองรับไว้ให้พร้อม ในกรณีเลวร้ายก็ต้องยกระดับมาตรการประหยัดไฟภาคบังคับ ขณะที่การนำเข้าปัจจุบัน ปตท.ยังนำเข้า LNG ตามสัญญาระยะยาวที่ 5.2 ล้านตันต่อปี เช่นเดิม

 “สำหรับมาตรการขอความร่วมมือประหยัดพลังงานในภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรม ที่อาจจะกลายเป็นมาตรการบังคับในอนาคต ได้แก่ การตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในอาคารให้สูงขึ้นจากปกติ 2 องศาเซลเซียส (27 องศาเซลเซียส) และปิดระบบแสงสว่างในพื้นที่ที่ไม่จำเป็น,  การกำหนดเวลาเปิดปิดไฟป้ายโฆษณาขนาดใหญ่, การปิดสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงหลังเวลา 23.00 น.  (เปิดเวลา 05.00-23.00 น.) รวมถึงการกำหนดเวลาเปิดปิดภาคธุรกิจบริการที่ใช้พลังงานสูง เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ สถานบันเทิง, การปิดระบบปรับอากาศก่อนห้างสรรพสินค้าปิด 30-60 นาที, การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงของโรงงานอุตสาหกรรม โดยภาครัฐสนับสนุนการให้ข้อมูล/คำแนะนำ และอาจสนับสนุนเงินลงทุนบางส่วนแก่โรงงานอุตสาหกรรม และมาตรการประหยัดพลังงานอื่นๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์” นายวัฒนพงษ์ ระบุ

ผอ.สนพ.ระบุด้วยว่า กพช.ยังมีมติเห็นชอบแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว ในโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก โดยประกอบด้วย 1.อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่เดิมในระบบไฟฟ้า ซึ่งเป็นการนำใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของโรงไฟฟ้าเดิม ที่รัฐมีกรรมสิทธิ์มาให้บริการร่วมกับการให้บริการพลังงานไฟฟ้า และเป็นการให้บริการในลักษณะที่ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ต้องเจาะจงแหล่งที่มาของไฟฟ้าและ REC ในการขอรับบริการ โดยมีอัตราค่าบริการเพิ่มเติมจากอัตราค่าไฟฟ้าตามปกติที่ครอบคลุมต้นทุนค่า  REC รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะกำหนดต่อไป

นายวัฒนพงษ์กล่าวต่อว่า 2.อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเดิมในระบบไฟฟ้าทั้งของรัฐและเอกชน  ซึ่งเป็นการให้บริการพลังงานไฟฟ้าและ REC ซึ่งมาจากแหล่งเดียวกัน โดยผู้ใช้ไฟฟ้าต้องเจาะจงกลุ่มโรงไฟฟ้า  (Portfolio) ในการรับบริการ และอัตราค่าบริการกำหนดจากต้นทุนการให้บริการพลังงานไฟฟ้าและ  REC ของแต่ละ Portfolio รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ  ตามที่ กกพ.จะกำหนดต่อไป ทั้งนี้ ในการกำหนดองค์ประกอบและโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียวทั้งสองรูปแบบ  รวมถึงการจัดสรรต้นทุนการให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วไป ที่ครอบคลุมต้นทุนสาธารณะ และวิธีการและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ กกพ.จะพิจารณากำกับดูแลภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550  ให้โปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่ม

 “กพช.ยังมีมติเห็นชอบการทบทวนการกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้า ตามหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าประเทศไทย ปี 2554-2558 โดยให้มีการปรับปรุงข้อความการนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามมาตรา 97(4) เพื่อการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีที่ใช้ในการประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย  จากเดิม “โดยเรียกเก็บจากผู้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าในอัตรา 0.5 สตางค์ต่อหน่วย” เป็น “โดยเรียกเก็บจากผู้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าในอัตราไม่เกิน 0.5 สตางค์ต่อหน่วย” เพื่อให้ กกพ.สามารถกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าจากผู้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าเป็น  0 บาทต่อหน่วยเป็นการชั่วคราว” นายวัฒนพงษ์ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง