รทสช.ยกก้น‘บิ๊กตู่’ ชี้ในหัวคิดถึงแต่ประชาชน ‘นิพนธ์’ตอกย้ำปรับ‘ครม.’

ซูเปอร์โพลชี้ ปชช.พอใจผลงาน "ประยุทธ์" แก้ความขัดแย้งของคนในชาติ "อนุทิน" ทำตามที่พูด-แก้โควิด "จุรินทร์" ช่วยเหลือเกษตรกร "นิพนธ์" กระตุกนายกฯ เสร็จเอเปกแล้วน่าจะนำรายชื่อ "นริศ" ทูลเกล้าฯ ถวาย "สุทิน" ไม่หวั่น พท.ถูกเจาะภาคอีสาน เชื่อ "2 ป." แยกกันเดินทำอ่อนแอ ฝ่ายค้านได้เปรียบ "พีระพันธุ์"  นำ รทสช.ลุยถิ่นอีสาน อุดรฯ-ขอนแก่น  เปิดใจไม่เคยเจอใครแบบ "ประยุทธ์" ที่คิดแต่จะทำงานเพื่อ ปชช. ปลุกสลัดเสื้อสี โวผู้สมัครล้นแล้ว ปัดไม่รู้จะถูกตั้งเป็นเลขาฯ  นายกฯ พร้อมเปิดตัว "เปรมศักดิ์" ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น คนเสื้อแดงอุดรฯ มาร่วมด้วย

เมื่อวันอาทิตย์ นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล นำเสนอผลสำรวจเรื่อง แกนนำรัฐบาลกับผลงานที่พอใจ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 2,008 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 24-26 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือ ผลงานที่ประชาชนพอใจแกนนำเด่นสุดของรัฐบาล ด้านแก้ขัดแย้งของคนในชาติ ไม่สูญเสีย ไม่มีการเผาบ้านเผาเมืองเหมือนในอดีต ได้แก่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร้อยละ 85.0

ด้านทำตามที่พูด นโยบายกัญชา ช่วยชาวบ้านคนตัวเล็กตัวน้อย ฐานรากสังคม   ได้แก่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 79.0, ด้านที่โดดเด่น ช่วยเหลือบุคลากรการแพทย์ อสม. แก้วิกฤตโควิด จัดการวัคซีน ได้แก่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 72.6, ด้านช่วยเหลือเกษตรกร ประกันรายได้ พืชเศรษฐกิจ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยางพารา และปาล์ม ได้แก่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 72.3, ด้านมุมานะ อดทน ดูแลประชาชน ช่วงฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตชาติ ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 63.7

นอกจากนี้ ด้านแกนนำรัฐบาลเด่น เจรจาเศรษฐกิจสากลกับนานาประเทศ ช่วงประชุมเอเปก ได้แก่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ร้อยละ 62.8, ด้านจุดยืนมั่นคง จงรักภักดี ปกป้องเสาหลักของชาติ ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 55.1 และด้านผลงานภาพจำ ช่วยที่ดินทำกิน แก้หนี้นอกระบบ บริหารจัดการน้ำ ได้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ร้อยละ 44.1 ตามลำดับ

ที่น่าพิจารณาคือ จุดยืนทางการเมืองของประชาชน พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 54.7 สนับสนุนรัฐบาล มากกว่า ไม่สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 13.2 และกลุ่มพลังเงียบ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ร้อยละ 32.1 เหตุผลที่ฐานสนับสนุนรัฐบาลมากกว่าไม่สนับสนุน เป็นผลพวงจากการก่อม็อบช่วงประเทศไทยจัดประชุมเอเปก และเหตุรุนแรงในภาคใต้ ที่ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีกลุ่มการเมือง พรรคการเมืองอยู่เบื้องหลัง และผลงานรัฐบาลที่พอใจของประชาชน

นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า กรณีที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคปชป. อึดอัดกับกรณีนายกฯ ไม่นำชื่อนายนริศ ขำนุรักษ์ สส.พัทลุง ทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แทนนายนิพนธ์ บุญญามณี ตามมติพรรค ซึ่งสมาชิกพรรค ปชป.ให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ ที่อยากให้เกิดผลในทางปฏิบัติ จึงมีสมาชิกพรรคสอบถามอยู่ตลอด ทำให้หัวหน้าพรรคเกิดความอึดอัด เมื่อเรื่องไม่มีความคืบหน้า ตนคิดว่าไม่มีการเมืองแอบแฝง

"ไม่มีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาล เพราะเป็นนเรื่องของพรรค ปชป.เพียงพรรคเดียว พรรคอื่นจะปรับหรือไม่อยู่ที่พรรคนั้นๆ พรรค ปชป.ไม่ขอก้าวล่วง ให้โอกาสกับนายกรัฐมนตรี ที่มีภารกิจกับการประชุมเอเปก ช่วงนี้การประชุมเอเปกเสร็จสิ้นแล้ว ภารกิจนายกฯ ลดน้อยลงแล้ว น่าจะดำเนินการตามมติพรรค ปชป. ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันมายาวนาน พรรคได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวม  เพราะภารกิจการแจกโฉนดที่ดินทำกิน การช่วยเหลือพี่น้องประสบภัยพิบัติ เป็นภารกิจสำคัญที่ตำแหน่ง รมช.มหาดไทยต้องทำ" นายนิพนธ์กล่าว

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคปชป. กล่าวถึงกรณีที่นายจุรินทร์ให้สัมภาษณ์เรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าในส่วนของพรรคได้ยึดหลักการในการปรับ ครม. เมื่อมีรัฐมนตรีในส่วนของพรรคว่างลง เนื่องจากมีการลาออกของนายนิพนธ์ บุญญามณี ก็ได้มีการประชุมในส่วนของพรรคเพื่อเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมมาดำรงตำแหน่งแทน ก็ได้มีมติเลือกนายนริศ ขำนุรักษ์ มาแทน หัวหน้าพรรคก็ได้นำชื่อส่งให้นายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อครบถ้วนตามกระบวน หลักการสำคัญอีกประการคือ มีนโยบายที่สำคัญที่ รมช.มหาดไทยคนเดิมได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของพรรค  สำคัญมากที่สุดคือเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินของประชาชน ในส่วนของพรรคตั้งใจที่จะให้รัฐมนตรีที่จะมีการปรับ ครม. คือนายนริศ ขำนุรักษ์ ได้เร่งเข้าไปขับเคลื่อนผลักดันให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุดในช่วงที่กำลังจะหมดวาระ หากเข้ามาทำหน้าที่ก็จะเป็นผลดีต่อประชาชนเป็นอย่างมาก

พท.เชื่อ2ป.แตกฝ่ายค้านได้เปรียบ

"ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นนั้นคงไม่ก้าวล่วง ว่าจะมีการปรับหรือไม่ปรับ แต่หลักการต้องแยกออกจากกัน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นได้ แต่ทั้งหมดเชื่อว่านายกรัฐมนตรีทราบหลักการและข้อเท็จจริงแล้ว ในส่วนของพรรค นายนริศ ขำนุรักษ์ พร้อมเข้าทำหน้าที่เพื่อทำประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศ" นายราเมศกล่าว

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ระบุว่าขณะนี้ในภาคอีสานมีผู้เสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคเกือบ 200 คน อีกทั้งสถานการณ์ก่อนเลือกตั้งที่หลายพรรคการเมืองเริ่มขยับเจาะพื้นที่ภาคอีสาน พท.จะรับมืออย่างไรว่า พท.ทำเต็มที่อย่างที่เคยทำมา  ส่วนเรื่องผู้สมัคร คนเก่ายังอยู่เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนบางเขตที่ในอดีตไม่มีผู้สมัคร ขณะนี้ก็มีผู้มาสมัครล้น เพราะฉะนั้นมีโอกาสคัดเลือกผู้สมัครที่ดีได้เยอะ ดังนั้นเชื่อว่าตัวผู้สมัครและนโยบายของพท.ไม่เป็นรองใคร ความเชื่อถือต่อ พท.ในภาคอีสาน เชื่อว่าไม่มีใครสู้ได้ ไม่กังวลว่าจะถูกเจาะ ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจต่อ พท.มีสูงมาตลอด

เมื่อถามถึงกระแสข่าวแยกกันเดินของ 2 ป. จะช่วยทำให้พรรคฝ่ายค้านได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า ได้เปรียบแน่นอน เพราะจากเดิมเขาอยู่ด้วยกันเป็นเอกภาพแข็งแรง เมื่อแยกออกไปก็ต้องอ่อนแอลงกว่าเดิมแน่ แต่ความอ่อนแอของคู่แข่งเป็นปัจจัยหนึ่ง  แต่ความเข้มแข็งของเราคือปัจจัยสำคัญที่สุด

เมื่อถามถึงการประชุมใหญ่พรรคที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 ธ.ค.นี้ นอกจากการปรับกรรมการบริหารพรรคแล้ว จะมีวาระอื่นอะไรบ้าง นายสุทินกล่าวว่า อาจมีนโยบายใหม่ๆ ที่ผ่านการพิจารณาของกรรมการบริหารพรรคมานำเสนอ ส่วนการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กำลังพิจารณาอยู่ว่าวันที่ 6 ธันวาคม เป็นจังหวะที่เหมาะสมหรือไม่ คิดว่ายังมีเวลาอีกนาน อาจไม่จำเป็นต้องเป็นวันนั้น

เมื่อถามกรณีพรรคประชาธิปัตย์กดดันนายกฯ ให้ปรับ ครม. นายสุทินกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของรัฐบาล ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว แต่ระยะเวลาที่เหลือของรัฐบาลอีก 4 เดือนข้างหน้าตามอายุสภานั้น รัฐบาลควรเร่งรัดแก้ปัญหาที่คั่งค้างให้เกิดประโยชน์ประโยชน์กับประชาชนให้มากที่สุด โดยเฉพาะนโยบายต่างๆ ที่เคยแถลงต่อสภาไว้ ไม่ใช่เข้าเกียร์ว่างเหมือนที่ผ่านมา 3 ปีกว่า เพราะประชาชนลำบากขึ้นทุกวันจากการบริหารงานของรัฐบาลที่ผ่านมา

ขณะที่ นายก่อแก้ว พิกุลทอง และ นายอรรถชัย อนันตเมฆ สองนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เคยมีบทบาทขับเคลื่อนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เตรียมเข้าสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พ.ย.นี้

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้เผยแพร่กำหนดการการต้อนรับสองนักเคลื่อนไหว โดยระบุว่า ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 เวลา 12.00 น. ที่ทำการพรรคเพื่อไทย  นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค, ดร.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรค, นายสมคิด เชื้อคง ส.ส. จ.อุบลฯ และ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ต้อนรับนายก่อแก้ว พิกุลทอง และนายอรรถชัย อนันตเมฆ เข้าสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย

นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ความเห็นทางการเมืองว่า  แยกกันเดินแล้วรวมกันตี หรือรวมกันตีแล้วแยกกันเดิน สถานการณ์ทางการเมืองของผู้มีอำนาจเป็นการแยกกันเดินแล้วรวมกันตี หรือว่ารวมกันตีแล้วแยกกันเดิน จะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เป็นการแยกกันเดิน แยกคน แยกพรรค ในที่สุดก็จะแยกอำนาจกัน ทั้งหมดเป็นบทประวัติศาสตร์ทางการเมืองทุกยุคทุกสมัย อำนาจทำให้คนแตกกัน แยกกัน แม้จะร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน เมื่ออำนาจไม่ลงตัวก็ต้องแยกกันเดิน และผู้มีอำนาจแต่ละคนก็มีบริวารเครือในสังกัดของตน ทั้งแนวคิด วิธีการ เป้าหมายก็ไม่เหมือนกัน การที่พี่น้องผู้มีอำนาจแยกกันเดินจึงเป็นเรื่องปกติ แต่ที่จะเป็นพลังแข็งแกร่งเหมือนเดิมคงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งแยกยิ่งเล็ก เพราะ ส.ส.มาจากพรรคเดียวกัน กลุ่มเดียวกัน คงไม่สามารถจะไปดึงจากกลุ่มอื่นมาได้แน่

"ถามว่าจะยุบสภากันเมื่อไหร่ ก็ขอบอกว่า จะยุบในวันนี้หรือยุบในเดือนมี.ค.66 ก็มีค่าเท่ากัน เพราะมีเวลาอยู่แค่ 3 เดือนเท่านั้น อยู่ต่อไปจะทำให้ได้คะแนนมากขึ้นกว่านี้มั้ย…ดูไปแล้วคงจะยาก ถ้าจะได้ก็คงจะได้มา 8 ปีกว่าแล้ว ช่วง 2-3 เดือนต่อแต่นี้ถือว่าเป็นความเสี่ยงทางการเมืองมากกว่า มีแค่เสมอตัวกับอาจพลาดได้ สุ่มเสี่ยงกับช่วงปลายสมัยใกล้หมดอำนาจ เชื่อว่าจัดทัพเลือกตั้งเสร็จแล้ว พร้อมแล้วมั่นใจว่าได้เปรียบทางการเมือง สู้เขาได้แน่ ก็คงยุบสภาในช่วงนั้น" นายวันชัยระบุ

"พีระพันธุ์"นำรทสช.ลุยอีสาน

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศูนย์ประชุมมณฑาทิพย์ฮอลล์ จังหวัดอุดรธานี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรค, นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ รองหัวหน้าพรรค และผู้บริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ พบปะผู้สนับสนุนพรรคและหารือร่วมกับผู้แสดงความจำนงลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดอุดรธานีและจังหวัดใกล้เคียง โดยมีนางบุญญาพร นาตะธนภัทร ส.ส.พรรครวมแผ่นดิน ร่วมภายในงาน

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า เมื่อมีปัญหา พรรคการเมืองต่างๆ อยากให้มีพรรคการเมืองที่ทำงานสู้เพื่อประชาชน สู้เพื่อแก้ไขปัญหาประชาชน เป็นที่พึ่งเวลาประชาชนเดือดร้อน มันไม่มีอย่างใจสักที ทำไม่ได้สักที เลยลาออกจากการเป็นผู้แทนฯ เพื่ออยากให้มีพรรคการเมืองที่ทำงานเพื่อบ้านเมือง พอลาออกมาก็มีคนมาถามว่าจะทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีหรือไม่ ให้มาเป็นที่ปรึกษาช่วยทำงาน ทั้งๆ ที่ตนไม่เคยรู้จัก พล.อ.ประยุทธ์มาก่อน แต่ท่านให้ตนช่วยทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง จึงตัดสินใจมาทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ ตนทำงานการเมืองมา 30 ปี ไม่เคยเจอใครที่เหมือน พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นคนคิดและทำงานเพื่อประชาชนอยู่ตลอดเวลา อาจเห็นท่านเป็นคนโผงผาง แต่ในใจคิดถึงประเทศชาติมากที่สุด ซึ่งก็คิดเหมือนกัน เวลานั่งคุยก็คุยถึงเรื่องชาวบ้าน จะแก้ปัญหาอะไร พอคุยแล้วนายกฯ จึงตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการของสำนักนายกรัฐมนตรี ช่วยประชาชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ จึงคิดว่าจะทำพรรคการเมืองที่อยากทำลองดูสักตั้งหนึ่ง

"ผมได้ยินมอตโต้ของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ใช้มาช่วงหนึ่งว่ารวมไทยสร้างชาติ ผมรู้สึกเลยว่าคำนี้มันใช่ ถ้าคนไทยของเราทุกคนไม่รวมใจกัน ไม่ร่วมมือกันสร้างชาติสร้างแผ่นดิน แล้วเราจะอยู่กันทำไมที่แผ่นดินนี้ ถ้าเราไม่ช่วยกันสร้างสังคมให้มีความเท่าเทียม สร้างโอกาสให้คนได้ทำมาหากิน ไม่แบ่งแยกแบ่งสี ให้หันมารวมไทยสร้างชาติกันดีกว่า ในตอนนั้นก็คิดกันเฉยๆ แต่เมื่อมีโอกาสก็ได้ร่วมกันคิดกับ นายวิทยาและนายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการทำพรรคการเมืองเพื่อประชาชน และยังได้คุยกับอีกคนหนึ่งที่คิดช่วยกันตั้งพรรค แต่เขาไปอยู่พรรคอื่นแล้ว แต่เขากำลังจะขอกลับมา จึงมาเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งตอนนี้เราควรสลัดสีกันได้แล้ว เราคนไทยเหมือนกัน มีแต่แดงขาว น้ำเงินขาวแดงอยู่บนหน้าอก นี่คือแผ่นดินไทยเราจะแบ่งสีกันไปทำไม มาช่วยกันสร้างชาติสร้างสังคมให้ดี เราเสียเวลากับการทะเลาะกัน แบ่งแยกกันมานานแล้ว"

นายพีระพันธุ์กล่าวอีกว่า ครั้งนี้ถ้าเลือกพีระพันธุ์ จะไม่มีคำว่าผิดหวังอีก พรรครวมไทยสร้างชาติจะสู้เพื่อพี่น้องทุกคน สู้เพื่อประเทศชาติ และจะมีการตั้งกองทุนสร้างชาติขึ้นมา จะมีการปลดหนี้กองทุนหมู่บ้าน สร้างกองทุนใหม่เพื่อชีวิตที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตของชาวอีสาน เราจะทำทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมือง ช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ขอฝากพรรครวมไทยสร้างชาติไว้ในหัวใจของพี่น้องทุกคน  เลือกตั้งครั้งหน้า ขอให้เลือกรวมไทยสร้างชาติทุกคนทุกเขต

การเดินทางมา จ.อุดรธานีและ จ.ขอนแก่นของนายพีระพันธุ์และคณะในวันนี้ ถือเป็นการลงพื้นที่ภาคอีสานครั้งแรกของพรรค รทสช. และเป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้สนับสนุนพรรคประมาณ 400 คนที่ได้มาพบปะกับนายพีระพันธุ์และแกนนำนั้น ล้วนเป็นอดีตกลุ่มคนเสื้อแดงอุดรธานี ซึ่งเป็นกลุ่ม นปช.อุดรฯ เก่า นำโดยนางรัตนาวรรณ สุขศาลา หรือครูนาง ซึ่งนางรัตนาเปิดเผยว่า กลุ่มของเราเป็นคนละกลุ่มกับนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนรักอุดร และตอนนี้บ้านเราไม่มีสีแล้ว และมารวมกันเพื่อรวมไทยสร้างชาติ รวมกันให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า 

โวผู้สมัคร ส.ส.ล้นแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับจังหวัดอุดรธานีมีเขตเลือกตั้งทั้งหมด 9 เขต ซึ่งนายวิทยากล่าวว่า แต่เดิมทีรวมไทยสร้างชาติเราคิดว่าจะหาผู้สมัครมาลงไม่ได้ แต่จนถึงปัจจุบันนี้มีคนมาแสดงเจตจำนงกับเราแล้วมากกว่า 20 คน

นายพีระพันธุ์ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ จ.อุดรธานีและ จ.ขอนแก่น ว่า ปัญหาสำคัญที่ได้รับการสะท้อนจากประชาชนในวันนี้คือเรื่องภาคการเกษตร นโยบายของ รทสช.คือจะทำอย่างไรให้ปุ๋ยราคาถูก ส่วนหนึ่งเป็นความสำเร็จของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จัดทำข้อตกลงที่ดีทั้งกับทางรัฐบาลจีนและรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย

ผู้สื่อข่าวถามถึงการปรากฏตัวของแนวร่วม นปช. ในงานพบปะผู้สนับสนุนพรรค รทสช.จ.อุดรธานี จะเป็นการดึงแนวร่วมเสื้อแดงเข้าร่วมงานกับ รทสช.หรือไม่ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ให้เรียกว่าเป็นการทำความเข้าใจ เพราะทุกคนมีแนวทางของตนเอง เราดึงกันไม่ได้ เพียงแต่ว่าถ้ามีความคิดเหมือนกัน เป้าหมายตรงกัน ก็มาทำงานร่วมกันเพื่อชาติบ้านเมือง เรื่องนี้จะว่ายากก็ไม่ถูก จะว่าง่ายก็ไม่ใช่ ทางนายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรคก็พูดคุยกันมาหลายเดือน ตอนแรกคิดว่ายาก ตอนนี้ล้นแล้ว

 “ผมพูดมาตลอดตั้งแต่ตั้งพรรค เป้าหมายสำคัญคือเลิกทะเลาะกันได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้ออะไร ทั้งหมดคือเพื่อชาติบ้านเมืองเหมือนกัน จะมามัวแบ่งแยกบ้านเมืองไม่ได้ เอาความสามารถมาสร้างบ้านเมืองดีกว่า ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อสถาบันหลัก เริ่มต้นเพื่อความสามัคคี” นายพีระพันธุ์ กล่าว

เมื่อถามถึงกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ แยกตัวจากพรรคพลังประชารัฐ เพื่อมาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ก็เป็นการคาดการณ์ ซึ่งถ้าเป้าหมายเหมือนกัน ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ จะเมื่อไรตอบไม่ได้ หากยังไม่ชัดเจนอะไร ตนก็ไม่กล้าเชิญเข้าพรรค รทสช. เห็นครั้งหลังท่านบอกหลังเอเปก หลังปีใหม่ แต่ท่านจะตัดสินใจเมื่อไร ตนก็ไม่รู้ ต้องถามท่าน ตนก็ไม่กล้าถามท่านที่เป็นผู้บังคับบัญชา

เมื่อถามถึงข่าวลือว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะแต่งตั้งนายพีระพันธุ์เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์กล่าวว่า เพิ่งเห็นข่าวเมื่อวันที่ 26 พ.ย. ตัวเองก็ไม่เคยทราบ คราวที่แล้วบอกมีข่าวปรับ ครม.จะเสนอชื่อก็ไม่มี ตนมีความสุขกับการทำหน้าที่ตรงนี้ ทำงานการเมือง มีตำแหน่งก็ทำได้ ไม่มีตำแหน่งก็ทำได้ อยู่ที่ใจ ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง

เมื่อถามย้ำว่า ได้มีโอกาสพบกับ พล.อ.ประยุทธ์แล้วหรือยัง นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เพิ่งได้มีโอกาสเจอนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ท่านถามความเห็นเรื่องกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง  และอีกฉบับคือร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 30 พ.ย.ที่จะถึงนี้ ว่าจะมีผลทางการเมืองอย่างไรบ้าง แต่ไม่มีการพูดคุยถึงเรื่อง รทสช.หรือเรื่องอื่นแต่อย่างใด

ต่อมา เวลา 15.00 น. ที่หอประชุมโรงเรียนเวียงวงกตวิทยาคม อ.เวียงเก่า จ.ขอนแก่น พรรครวมไทยสร้างชาติจัดประชุมจัดตั้งสาขาประจำจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 5 นำโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค พร้อมเปิดตัวนายวุฒิพงศ์ ศุภรมย์ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 ขอนแก่น และ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกพรรค รทสช. ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 10 ขอนแก่น ด้วยการสวมเสื้อแจ็กเกตพรรคให้

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า เมืองมีของหลายอย่างที่ต้องปรับปรุง มีหลายเรื่องที่ต้องปรับออกไปจากชีวิต และหลายเรื่องที่ต้องสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อลูกหลานในอนาคต เราจะมีการสร้างสังคมเพื่อความถูกต้องเป็นธรรม อะไรไม่ดีจริงๆ ไม่ต้องมีแล้ว โละทิ้งให้หมด และมาช่วยกันสร้างสังคม สร้างบ้านเมือง สร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ ประเทศที่มีความรักสามัคคี หันหน้ายิ้มเข้าหากัน ศัตรูของพรรครวมไทยสร้างชาติไม่ใช่พรรคการเมืองอื่น แต่คือความลำบากและความทุกข์ของประชาชน ขอให้มาร่วมกันในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ มาร่วมกันต่อสู้กับศัตรูเหล่านี้

ด้านนายวิทยากล่าวว่า หากพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นรัฐบาล จะสนับสนุนจัดตั้งกองทุนฉุกเฉิน โดย อสม.สามารถกู้ฉุกเฉินในยามที่เดือดร้อนได้ โดยใช้ค่าตอบแทน อสม.เป็นหลักประกัน ค้ำประกันการกู้ยืม ขณะเดียวกันมีแนวความคิดเพิ่มวงเงินฉุกเฉินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วย

ทสท.-สอท.เจาะเมืองกรุง

 ทางด้านพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) จัดประชุมภาค กทม. มีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย,  น.ต.ศิธา ทิววารี เลขาธิการพรรค, นายสุธา ชันแสง ประธานภาค กทม. พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เข้าร่วมการประชุม โดยคุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า การประชุมเป็นการติวเข้มทำความเข้าใจนโยบาย เพื่อเน้นย้ำและสื่อสารให้พี่น้องประชาชนได้รับฟังและเข้าใจอย่างทั่งถึง เช่น นโยบายบำนาญ 3,000 บาท ที่ได้เสนอกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการสังคมผู้สูงวัยซึ่งประเทศไทย เป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกของโลก ที่มีสัดส่วนประชากรผู้สูงวัยมากที่สุด

ขณะเดียวกัน พรรคจะสร้างโอกาสให้ผู้คนลุกขึ้นมาทำมาหากินได้อย่างรวดเร็ว ปลดล็อกกฎหมายและรัฐราชการที่ขวางกั้นการทำมาหากินของประชาชน จะออกพ.ร.ก.เพียง 1 ฉบับ ใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน พักหรือแขวนการบังคับใช้ใบอนุมัติใบอนุญาตกว่า 1,000 ฉบับ ไว้ 3-5 ปี รวมถึงจะมีการพักหนี้และเติมทุนให้กับกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อย หรือ SMEs ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

นายสุธากล่าวว่า พรรคให้ความสำคัญกับพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพราะเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนประเทศ ในส่วนของการคัดเลือกผู้สมัคร เกือบแล้วเสร็จทั้งหมด เหลือเพียงบางเขตเท่านั้น มีความพร้อมในการเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ในส่วนของผู้สมัครจะมีทั้งคนรุ่นใหม่นักธุรกิจที่มีประสบการณ์สูงในแต่ละด้านเข้ามาร่วมงาน มั่นใจว่าจะถูกใจพี่น้องประชาชน เพราะเป็นคนมีคุณภาพ ที่อาสามาแก้ไขปัญหาประเทศ

ขณะที่นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรค ประธานภาคกรุงเทพมหานคร ร่วมพิธีเปิดศูนย์ประสานงานพรรค เขตปทุมวัน บางรัก สาทร

โดยนายอุตตมกล่าวว่า ศูนย์ประสานงานเป็นกลไกสำคัญในการทำงานของพรรค ที่จะให้คนของพรรคเมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง เข้าถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่างๆ และพี่น้องประชาชนได้มีโอกาสสัมผัสและรู้จัก จึงเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นศูนย์รวมที่พี่น้องประชาชนสามารถมาพบปะ ฝากเรื่องราวปัญหาต่างๆ เสนอข้อคิดเห็นให้กับทางพรรค ทั้งนี้ ผู้ที่จะรับผิดชอบดูแลศูนย์ประสานงานคือ นายณัฐกานต์ สุวรรณะโสภณ ส่วนการเตรียมตัวผู้สมัครแต่ละเขตตอนนี้เราทำงานต่อเนื่อง เพิ่มตัวว่าที่ผู้สมัครไปเรื่อยๆ ใน กทม. เรามีทั้ง 33 วันนี้เราพร้อมในต่างจังหวัดก็เช่นเดียวกัน

ที่สำนักงานใหญ่พรรคเพื่อชาติไทย ถนนอรุณประเสริฐ ต.โนนโพธิ์ อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ  ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อชาติไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อชาติไทยจะมีการเปิดตัวว่าที่ ส.ส.ทั้งหมด 500 คน ในวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2565 ถือเป็นวันดี ฤกษ์ดี ตรงกับวันรัฐธรรมนูญ ที่ลานเวทีปราศรัย ภายในพรรคเพื่อชาติไทย โดยการชูนโยบายพรรคเพื่อชาติไทย เด่น ดี ดัง ทั้ง 4 ข้อ คือ 1.เปิดสงครามยาเสพติด ให้หมดสิ้นประเทศไทย ภายใน 3 ปี 2.ขุดในไทย กลั่นในไทย ขายให้คนไทย น้ำมันลิตรละไม่เกิน 25 บาท 3.หวยเสรี กู้เศรษฐกิจ และ 4.ครอบครอง ส.ป.ก.4-01 ครบ 10 สามารถออกเอกสารสิทธิได้

"ไม่กังวลเรื่องการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับกฎหมายลูกการเลือกตั้ง ในการได้มาของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ สูตรหาร 100 หรือหาร 500 เพราะจะออกมาแบบไหน สูตรอะไร พร้อมสู้ทุกกติกา" นายคฑาเทพกล่าว

นายมนัส โกศล หัวหน้าพรรคแรงงานสร้างชาติ (รสช.) เปิดเผยว่า วันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา ตนพร้อมด้วยนายศรศาสตร์ นาเมืองรักษ์ โฆษกพรรค เดินทางไปพบปะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน จ.สมุทรปราการ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจนโยบายพรรคแรงงานสร้างชาติ กรณีที่พรรคประกาศชูนโยบายความจำเป็นที่ต้องมีการปฏิรูปสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมเพิ่มขึ้น เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประกันสังคมอย่างถ้วนหน้า โดยเฉพาะกรณีการเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบมาแล้วครบ 180 งวด หรือเป็นเวลา 15 ปี นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.2541 โดยเงินสมทบดังกล่าวจะถูกหักเป็นเงินกรณีชราภาพไว้จำนวนหนึ่งไปจนถึงอายุ 55 ปี จากนั้นจะเปิดให้ผู้ประกันตนที่มีอายุ 55 ปี สามารถเลือกรับเงินชราภาพแบบบำเหน็จ (เงินสมทบก้อนเดียวทั้งหมดที่สะสมไว้) หรือจะเลือกรับเป็นเงินบำนาญรายเดือนจนกระทั่งเสียชีวิต.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง