แก้แผลเป็นศก. ลุยปฏิรูปรายได้ ต่างชาติลงทุน

"คลัง" เร่งแก้แผลเป็นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 เผยเสี่ยงติดกับ 2 หนี้ ทั้งหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะ   ลั่นเดินหน้าปฏิรูปรายได้ นายกฯ มั่นใจ "ฟิทช์ เรทติ้งส์" คงอันดับความน่าเชื่อถือจะเพิ่มความเชื่อมั่นต่างชาติให้ความสนใจที่จะลงทุนในไทย หนุนนโยบายรัฐเร่งดึงบรรษัทข้ามชาติตั้งสำนักงานใหญ่    ลั่นใกล้ช่วงเลือกตั้งไม่อยากทิ้งภาระให้ใคร ปลุก ปชช.ร่วมมือรัฐบาลเดินหน้าประเทศให้ดีขึ้น

เมื่อวันพฤหัสบดี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการหารือกับธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กลุ่มประเทศจี 20 ให้สำคัญกับแผลเป็นเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 ทั้งประเด็นความยากจนที่เกิดขึ้นทั่วโลก และปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัญหาครัวเรือนครัวโลก ที่หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด ทุกรัฐบาลต้องหาทางแก้ไข ซึ่งแผลเป็นทางเศรษฐกิจจะอยู่นานหรือไม่นาน ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา และมาตรการด้านเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

"สำหรับประเทศไทยในช่วงสองปีที่ผ่านมา ได้ใช้นโยบายการคลังไปค่อนข้างมาก มีการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 2 ฉบับ รวม 2 ล้านล้านบาท ในช่วงปี 2563-2564 จะไม่กู้ก็ไม่ได้ เพราะงบประมาณประจำปีมีการตั้งไว้แล้ว เมื่อกู้เงินเพิ่ม หนี้สาธารณะก็เพิ่มขึ้น ทำให้ไทยเผชิญภาวะ 2 หนี้ ทั้งหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะ ที่ต้องดูว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร"

นายอาคมกล่าวว่า ปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นต้องแก้ไข โดยการปฏิรูปรายได้ภาครัฐซึ่งมาจากการค้าขายหาเงินเข้าประเทศ ทั้งจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งหากมีการพิมพ์เงินเพิ่มเรื่อยๆ แบบสหรัฐ คงไม่ได้ เพราะจะเกิดเงินเฟ้อ ไม่มีความน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกัน เวลาปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนระดับรัฐบาลต้องมีการแปลงหนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะยาว เป็นต้น

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับทราบจากกระทรวงการคลัง ถึงกรณีที่บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยการคงมุมมองความน่าเชื่อถือต่อประเทศไทยดังกล่าว มีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ปี 2565-66 จะเติบโตร้อยละ 3.3 และ 3.8 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าระดับเฉลี่ยของกลุ่มประเทศที่มีความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกัน

"นายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพของประเทศไทย และนโยบายการบริหารความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นและให้ความสนใจที่จะลงทุนในไทย เห็นได้จากนักธุรกิจหลายคณะที่เดินทางมาพบนายกรัฐมนตรีทั้งจากสหรัฐและยุโรป ในระยะนี้ต่างให้ความสนใจสอบถามถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนและโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ รวมถึงการสนับสนุนแนวนโยบายที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ โดยการให้สิทธิประโยชน์และอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อดึงบรรษัทข้ามชาติมาตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาค (International Headquarters) ในประเทศไทย โดยจากที่ผ่านมามีหลายบริษัทเข้ามาตั้งแล้ว เช่น สำนักงานใหญ่ภูมิภาคอโกด้า แพลตฟอร์มรับจองโรงแรมทั่วโลก, บริษัท เอ็กซอน โมบิล, บริษัท บอมบาร์ดิเอร์ ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นอัลสตอม ประกอบธุรกิจการพัฒนาระบบรางของรถไฟฟ้า ซึ่งการเข้ามาของบริษัทเหล่านี้ได้ให้ประโยชน์กับไทยอย่างมาก โดยเฉพาะการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล"

น.ส.ไตรศุลีกล่าวอีกว่า นายกฯ ได้มอบหมายหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ปรับปรุงการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งในช่วงกลางเดือน ธ.ค.นี้ คณะอนุกรรมการแก้ไขอุปสรรคและอำนวยความสะดวกในการลงทุน ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน เป็นประธาน จะประชุมร่วมกับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ), กรมสรรพากร, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับการตั้งศูนย์ให้บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) แก่ต่างชาติจะเข้ามาติดต่อเรื่องการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาค ซึ่งจากปกติหากเข้ามาตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทย จะต้องขออนุญาตทั้ง 4 หน่วยงาน ก็ให้มาดำเนินการทุกขั้นตอน ณ จุดเดียวแบบเบ็ดเสร็จได้

วันเดียวกัน ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้สถานะการเงินการคลังเราเขาชื่นชมประเทศไทยที่มีศักยภาพ มีการบริหารการเงินการคลังที่แข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ รองรับสถานการณ์ในปัจจุบันได้ดีกว่าหลายๆ ประเทศ ขอให้ทุกคนภาคภูมิใจ และทุกคนก็มีส่วนร่วมกระทรวงการคลัง ส่วนร่วมกับรัฐบาลตรงนี้ หวังอย่างยิ่งว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ คือหน้าที่ของพวกเรา หน้าที่ของตน หน้าที่ของส่วนราชการทุกภาคส่วน ตนไม่ได้ต้องทำเพื่อการเมือง แต่ต้องการทำเพื่อประเทศของเรา

 “วันนี้ผมคาดหวังว่าในระยะเวลาอันใกล้ วันหน้าจะมีการเลือกตั้งต่างๆ ผมก็ไม่อยากทิ้งภาระให้ใครในโอกาสหน้าทั้งสิ้น และไม่อยากให้ทุกอย่างกลับมาอยู่ที่เดิม ก็คือก่อนที่เราจะแก้ไขปัญหามาถึงตรงนี้ได้ ขอให้พวกเราภาคภูมิใจ การทำงานเหน็ดเหนื่อยสาหัสมา ทำเพื่อใคร ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ทำเพื่อคนอื่น นั่นคือสิ่งที่เรียกว่ากุศล ทำบุญทำกับวัดกับพระ แต่ทำกุศลทำให้กับคน ฉะนั้นคือสิ่งที่ทุกคนต้องเสียสละ ต้องไม่เหนื่อยที่จะคิดไม่เหนื่อยที่จะทำ และไม่มุ่งหวังผลประโยชน์จากการทำงานของตัวเอง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ต่อมา เวลา 13.30 น. ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานพิธีเปิดงานอุตสาหกรรมแฟร์ “ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม"  ภายใต้โครงการพัฒนาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อม

โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้เราอยู่ในเกณฑ์ที่ต่างประเทศยอมรับว่าเราทำได้ดีกว่าหลายประเทศ ทั้งเรื่องโควิด การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยคิดว่าน่าจะบริหารได้ดีไปเรื่อยๆ ขอให้ทุกคนช่วยกันทำตั้งแต่ข้างล่างขึ้นมาข้างบน  ประเทศไทยอยู่ในประเทศรายได้ค่อนข้างปานกลางมาหลายปี เราต้องไปสู่ระดับบนให้ได้ และสิ่งสำคัญที่สุดที่ตนห่วงในขณะนี้ทำอย่างไรให้เศรษฐกิจฐานรากฟื้นฟูเติบโตขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลร่วมกับประชาชนจับมือกันเดินไปพร้อมกัน ไม่มีใครทำสำเร็จได้โดยคนเดียวหรือหน่วยงานเดียว ดังนั้นรัฐบาลประชาชนต้องร่วมมือกันในการเดินหน้าประเทศให้ดีขึ้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง