สั่งเมียตู้ห่าว-5ตร.ออกราชการ

ผบ.ตร.สั่งฟัน "พ.ต.อ.หญิง เมียนายตู้ห่าว" พร้อม 5 ตร.ให้ออกจากราชการเซ่นคดีตู้ห่าว "บิ๊กโจ๊ก" ลั่นเอาผิดเจ้าหน้าที่ ตม.เรียกแจงสัปดาห์หน้า ด้าน "สมศักดิ์" ถกชุดพาลีปราบยา ตั้ง "ชูวิทย์" นั่งที่ปรึกษา ยันเอาจริงยึดอายัดทรัพย์ยาเสพติด "ก้าวไกลไล่บี้ ปมหลานนายกฯ "บิ๊กเด่น" เผยไม่เกี่ยวคดีผับจินหลิง

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล หารือในที่ประชุมกรณีธุรกิจนำเที่ยวของนายตู้ห่าวเกี่ยวกับรถทัวร์ 400-500 คัน มีความเชื่อมโยงกับบริษัทของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า เมื่อปี 2558 บริษัทของหลานชายนายกฯ มีทุนจดทะเบียนตั้งบริษัทด้วยเงิน 3 ล้านบาท แต่ปัจจุบันมีมูลค่าเกือบพันล้านบาท เมื่อปี 61 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เคยตรวจสอบบริษัทนี้ แต่จนถึงวันนี้การตรวจสอบก็ยังคงอยู่ในขั้นต้น เมื่อค้นข้อมูลจึงถึงบางอ้อว่าสาเหตุที่ตรวจสอบไม่ได้ เพราะนามสกุลเดียวกับนายกฯ ปี 2564 บริษัทดังกล่าวคว้างานของภาครัฐไป 3 งาน 

"สรุปแล้วประเทศนี้จะตรวจสอบทุจริตไม่ได้เลยใช่หรือไม่ เพราะเมื่อเสนอเรื่องไปยัง ป.ป.ช.ก็ตรวจสอบไม่ได้ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ตั้ง ป.ป.ช. บริษัทนี้ก็หลานพล.อ.ประยุทธ์อีก หรือแม้แต่คดีนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ รับสินบนจำนวน 5 ล้านบาท ก็เป็นน้องเพื่อนนายกฯ" นายปดิพัทธ์  กล่าว

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีตู้ห่าวว่า การสอบสวนเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้วจะสรุปสำนวนเสนออัยการสูงสุดภายใน 1-2 วันนี้ อยู่ในกรอบระยะเวลาที่อัยการสูงสุดจะต้องเสนอส่งให้ศาลภายใน 20 ม.ค.2566 ทั้งนี้ ตำรวจได้ร่วมการสอบสวนร่วมกับอัยการอยู่แล้ว โดยมีคณะของอัยการสูงสุดมาให้คำแนะนำหรือดูแล ทางตำรวจจะดำเนินการให้แล้วเสร็จ ส่วนตัวมั่นใจในพยานหลักฐานว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะลงโทษผู้กระทำผิดในคดีนี้ได้ ซึ่งมีผู้ต้องหาหลัก 37 คน จับกุมได้ 19 คน หลบหนี 18 คน ไม่รวมคดีเสพต่างๆ อีกกว่า 70 คน ได้สอบปากคำพยานไม่ต่ำกว่า 400 ปาก

 ส่วนกรณีที่มีตำรวจเข้าไปพัวพันในเรื่องนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในคดีนี้จะแบ่งเป็นคดีหลักคือคดีฟอกเงิน ซึ่ง พ.ต.อ.หญิง ภรรยาของนายตู้ห่าว เกี่ยวข้องกับคดีหลักคือคดีฟอกเงิน ส่วนอีก 5 นาย ทั้ง รอง ผบก.น.6, พลขับ, รอง ผกก.จร.สน.ลาดพร้าว และพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา 2 นาย รวมทั้งหมด 6 นาย ได้มีการตั้งคณะกรรมการวินัยร้ายแรงไปแล้ว และส่งสำนวนการดำเนินคดีไปที่ ป.ป.ช. โดยเมื่อวันที่ 9 ม.ค.2566 ที่อยู่ในอำนาจของ ตร. และอยู่ในอำนาจของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้มีการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้วทั้งหมด 6 นาย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทั้งหมดจะสามารถที่จะอุทธรณ์ได้หรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า จะต้องไปสู้กันทางคดีต่อไป เราถือว่าเป็นคดีสำคัญ และอาจจะมีความเกี่ยวเนื่องกัน ในคดีหลักคือคดีฟอกเงิน ส่วนอีก 5 นายเป็นคดีต่อตำแหน่งหน้าที่ เรียกรับสินบน ในส่วนอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจนครบาลก็สั่งให้ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.2566 ส่วนอำนาจของ ตร.คือภรรยาของนายตู้ห่าว ทาง ตร.ได้สั่งให้ออกจากราชการเช่นกัน ส่วนนายตู้ห่าวได้แจ้งข้อหาฟอกเงินแล้ว และจะสรุปสำนวนส่งอัยการเร็วๆ นี้

ส่วนประเด็นรถทัวร์ที่เป็นของหลานนายกฯ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า กรณีนี้ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นไปแล้ว ซึ่งในเบื้องต้นได้ข้อมูลจาก ป.ป.ส. มาส่วนหนึ่งว่ารถทัวร์ที่หลานนายกฯ ไปทำธุรกรรมการเช่าซื้อ เรื่องการทำธุรกิจท่องเที่ยวมีมาตั้งแต่ปี 2562 ประมาณ 33 คัน จากจำนวนหลายร้อยคันที่นายตู้ห่าวได้ทำธุรกิจ ส่วนคดีจินหลิงเป็นคดีสมคบ ยาเสพติด คดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เราได้ดูหลักฐานความเกี่ยวเนื่องย้อนไปถึงปี 2563 ซึ่งเรื่องรถทัวร์เป็นก่อนกระทำความผิดไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้โดยตรง แต่เราจะประสานข้อมูลกับ ป.ป.ส.เพิ่มเติม ในเรื่องความเกี่ยวเนื่องของทรัพย์สิน และ ปปง.เรื่องเส้นทางการเงิน ถ้ามีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป ยืนยันว่าไม่มีมวยล้มต้มคนดู เพราะเราดำเนินการอย่างชัดเจน เพียงแต่จะไม่บอกทุกขั้นตอน เพราะเกรงว่าผู้ที่จะวางแผนต่อสู้คดีเขาจะรู้ตัว

ทางด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตั้งคำถามถึงการดำเนินการทางคดี กับอดีตผู้การตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือกลุ่มทุนจีนสีเทาว่า ในส่วนของตำรวจ ตม.ทั้งอดีตผู้การฯ และผู้การฯคนปัจจุบัน และเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ได้สืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานจนเสร็จสิ้น ซึ่งตนเองได้นำเรียน ผบ.ตร.เรียบร้อยแล้ว คณะทำงานได้ดำเนินการตามพยานหลักฐาน และตรวจพบกระทำความผิดที่ชัดเจน เช่น การต่อวีซ่าโดยใช้มูลนิธิ การออกวีซ่าในรูปแบบของการใช้โรงเรียนต่างๆ หรือแม้แต่การปลอมแปลงลายเซ็นของรองผู้ว่าฯ

 รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีการแอบลักลอบใช้บ้าน หรือเล้าไก่ตั้งเป็นมูลนิธิ ซึ่งตรวจพบการกระทำผิดในลักษณะนี้พอสมควร รวมทั้งยังพบว่ามีตำรวจ ตม.บางคนไปเป็นเจ้าของมูลนิธิเอง และใช้เอเยนต์ในการทำหลักฐานเท็จทั้งหมด ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเด็ดขาด คาดว่าในสัปดาห์หน้าก็เตรียมที่จะเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด ตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูง หัวหน้าสถานี และผู้ปฏิบัติ

ขณะที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษเพื่อการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด (พาลีปราบยา) โดยมีนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส., นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ, พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์, นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฯ และคณะพาลีปราบยา เข้าร่วม ที่กระทรวงยุติธรรม

ส่วนที่มีการพูดกันว่าชุดนี้ทำงานไม่จริง เมื่อมีการเข้าตรวจสอบแล้วก็ถอย ไม่มีการอายัดทรัพย์ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะชุดพาลีปราบยา ตนผลักดันให้มี เพื่อมาติดตามดูธุรกรรมทางการเงิน และค้นหาทรัพย์ของเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด เพื่อรองรับประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ ที่เน้นเรื่องการยึดอายัดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด จึงมีการตั้งชุดนี้มา เพื่อสืบทรัพย์ และก็ทำให้ในปีที่ผ่านมา สามารถยึดอายัดได้ถึง 11,003 ล้านบาท ทั้งนี้ ชุดพาลีปราบยาในส่วนของดีเอสไอ ได้รายงานภาพรวมว่า ช่วงที่ผ่านมาได้มีการสอบสวนคดีถึง 7 คดี และเรื่องสืบสวน จำนวน 2 เรื่อง จนสามารถยึดอายัดทรัพย์ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ จำนวน 832 ล้านบาท ส่งให้คณะการตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อให้ ป.ป.ส.ยึดอายัดสมคบยาเสพติด จำนวน 406 ล้านบาท และปัจจุบันยึดอายัดไว้อีก 1,013 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีคดีตู้ห่าว ร่วมยึดอายัดทรัพย์อีก 3,189 ล้านบาท จึงจะเห็นได้ว่า มีการทำงานแบบบูรณาการอย่างแท้จริง

“จากที่สังคมเกิดข้อครหารวมถึงไม่กล้าแจ้งเบาะแสยาเสพติด ผมจึงแต่งตั้งนายชูวิทย์ให้เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการชุดนี้ เพื่อให้ช่วยเข้ามาติดตามการทำงานของคณะพาลีปราบยา และร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล ติวเข้มให้เจ้าหน้าที่ เพื่อทำให้สังคมเกิดความสบายใจได้ว่า มีการทำงานกันอย่างจริงจัง โดยมีนายชูวิทย์เป็นหูเป็นตา ซึ่งก็จะยิ่งทำให้ประชาชนเชื่อมั่น และช่วยกันแจ้งเบาะแสยาเสพติดมากขึ้น” รมว.ยุติธรรมกล่าว

นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า คดีเครือข่ายชบา หรือที่เกี่ยวข้องกับประธานสโมสรฟุตบอล ได้รับรายงานว่าอัยการสั่งไม่ฟ้อง จึงให้แนวทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าให้นำคดีกลับมาทำใหม่ได้หรือไม่ เพราะอาจมีข้อมูลใหม่ รวมถึงเผื่อมีใครไปรับเงินเขามาก็จะสามารถตามไปยึดได้ เพื่อทำให้สังคมหมดความสงสัย ซึ่งก็ตรงกับที่อัยการให้ความเห็นไว้ว่าให้ดีเอสไอ หาความผิดอื่น เพราะในสำนวน ผู้ต้องหาไม่ได้สมคบ แต่รับว่าทำพนันออนไลน์ ทำให้คดีนี้จะเดินต่อไปได้ โดยเรื่องนี้ดีเอสไอ รับทราบดำเนินการแล้ว ส่วนการนำคดีมาทำใหม่ได้มอบหมายให้หาผู้รับผิดชอบภายในวันที่ 13 ม.ค.นี้ เพื่อทำเป็นคดีตัวอย่าง คนที่ร้องจะได้รู้ว่าเรากำลังเรียนรู้กับกฎหมายใหม่ รวมถึงการกล่าวอ้างว่ามีการเรียกรับสินบนก็จะมีการประสานไปยังคนร้องเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันด้วย รวมทั้งยังได้สั่งให้ติดตามความคืบหน้าคดีชมพู บ้วนหลี ที่เกิดตั้งแต่ปี 2563 แต่ถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า จึงสั่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำให้สังคมทราบว่ามีตัวเลขยึดทรัพย์เครือข่ายนี้เท่าไหร่แล้ว ให้เวลาสรุปผลภายใน 1 เดือน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ดร.อานนท์' ชงสูตรการเมืองทำลาย 'ก้าวไกล-ธนาธร' เชื่อยอมเจ็บเถิด จะได้จบ

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า