นโยบายเพื่อไทยโดนใจคนกรุง

"พท." ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งนโยบายโดนใจคนกรุง รองลงมา "ภท.-ปชป." ขณะที่ "พปชร." คะแนนนิยมตกฮวบ "ประชาธิปัตย์" ติวเข้มผู้สมัครชายแดนใต้ชูสันติภาพสู่สันติสุข "ชาติพัฒนากล้า" ได้ฤกษ์หลังตรุษจีนเปิดนโยบายแก้เศรษฐกิจ เน้นทุกคนมีงาน-เงิน  "อุ๊งอิ๊ง" ยาหอมคนอุดรฯ ประกาศดันราคายางแตะ 100 บาท “สุดารัตน์” ลุยกาฬสินธุ์ รื้อสัญญาไฟฟ้าได้เป็นรัฐบาลลดค่าไฟทันที 3.5 บาท ทำอีสานหายจนเขียวขจี

เมื่อวันที่ 15 มกราคม นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจ เรื่องนโยบายพรรคที่โดนใจคน กทม. กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,207 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 12-15 ธ.ค.2566 โดยพบว่า นโยบายพรรคก้าวไกลที่โดนใจคน กทม. ใน 3 อันดับแรก ได้แก่ เศรษฐกิจไทยก้าวหน้า ร้อยละ 66.3 รองลงมา สวัสดิการก้าวหน้า ร้อยละ 63.6 และอันดับสาม การเมืองไทยก้าวหน้า ร้อยละ 63.1                    

ส่วนนโยบายพรรคเพื่อไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ ยกระดับ 30 บาท ร้อยละ 84.3 รองลงมา บัตรประชาชนใบเดียว รักษาทั่วไทย จองคิวได้เร็ว ร้อยละ 80.8 และปริญญาตรีเงินเดือน 25,000 บาทขึ้นไป ร้อยละ 79.4 ในขณะที่นโยบายพรรคพลังประชารัฐ 3 อันดับแรก ได้แก่ ต่อยอดโครงการ คนละครึ่ง ร้อยละ 70.1 รองลงมา ต่อยอดโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้อยละ 67.0 และต่อยอดโครงการบ้านประชารัฐ ร้อยละ 65.4

ที่น่าสนใจคือ นโยบายพรรคที่โดนใจ คน กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ 3 อันดับแรก พบว่า เรียนฟรีถึงปริญญาตรี ได้ร้อยละ 82.3 รองลงมา ธนาคารหมู่บ้าน ชุมชน แห่งละ 2 ล้านบาท ร้อยละ 65.1 และอันดับสาม ฟรีนมโรงเรียน 365 วัน ได้ร้อยละ 64.5 นอกจากนี้ นโยบายของพรรคภูมิใจไทย 3 อันดับแรกคือ รักษาฟรี โรคมะเร็ง ได้ร้อยละ 79.7, อันดับสอง ฟอกไตฟรี ผู้สูงอายุวัคซีนฉีดฟรีถึงบ้าน ร้อยละ 77.8 และอันดับที่สาม เพิ่มรายได้ เปิดพื้นที่ค้าขายรองรับท่องเที่ยว 24 ชั่วโมง ร้อยละ 77.0

ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่านโยบายสังคม ได้แก่ นโยบายด้านสุขภาพ ได้รับการตอบรับจากคนกรุงเทพฯ มากที่สุดคือ การต่อยอด 30 บาทจากพรรคเพื่อไทย และรักษาฟรีโรคมะเร็งจากพรรคภูมิใจไทย ในขณะที่ด้านการศึกษา จากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับความนิยมมากสุดคือการเรียนฟรีถึงปริญญาตรี อย่างไรก็ตาม  เมื่อถามโดยสรุปว่านโยบายพรรคการเมืองใดที่โดนใจ คนตอบแบบสอบถาม มากที่สุดพบว่า ร้อยละ 33.0 ระบุพรรคเพื่อไทย รองลงมาคือร้อยละ 26.4 พรรคภูมิใจไทย และร้อยละ 23.5 พรรคประชาธิปัตย์ ทิ้งห่างพรรคก้าวไกลที่ได้ร้อยละ 9.0 และพรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 6.6

"ที่น่าสนใจคือ เมื่อนำคำถามถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง คนกรุงเทพมหานครจะเลือกพรรคการเมืองใด โดยนำข้อมูลที่เคยสำรวจก่อนหน้านี้มาทำการเปรียบเทียบแนวโน้ม พบว่า พรรคเพื่อไทย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 23.1 ในเดือน ก.ค.2565 มาอยู่ที่ร้อยละ 31.5 ในขณะที่พรรคภูมิใจไทย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 21.4 และพรรคประชาธิปัตย์ ก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากร้อยละ 3.5 มาอยู่ที่ร้อยละ 17.1 อย่างไรก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงคือ พรรคพลังประชารัฐ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากร้อยละ 28.7 ในเดือน ก.ค. 2565 มาอยู่ที่ร้อยละ 8.0 ในการสำรวจล่าสุด และพรรคก้าวไกลอยู่ในระดับทรงตัวคือร้อยละ 7.0 ในเดือน ก.ค.2565 มาอยู่ที่ร้อยละ 8.9 ในการสำรวจครั้งนี้" นายนพดลระบุ

ที่ห้องประชุมย่อย บ้านพักเขารูปช้าง อ.เมืองฯ จ.สงขลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  ได้ประชุมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดสตูล และสงขลาบางส่วน นอกจากนี้ นายนริศ ขำนุรักษ์ รมช.มหาดไทย ได้เดินทางมาร่วมประชุมด้วย โดยพรรคชู 8 นโยบาย ด้านการเกษตร สู้ศึกเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำสันติภาพสู่สันติสุข

นายนิพนธ์กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ออก 3 ยุทธศาสตร์หลัก การสร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ โดยเฉพาะนโยบายในการนำมาใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั่นคือการสร้างเงิน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นหลายนโยบาย โดยเฉพาะเน้นในเรื่องของนโยบายประกันรายได้คน และประกันรายได้ให้กับประเทศ นโยบายการจัดตั้งธนาคารหมู่บ้าน-ชุมชนแห่งละ 2 ล้านบาท การออกโฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลงภายใน 4 ปี ฟรีนมโรงเรียน 365 วัน การให้เงินทุนสำรองประมงท้องถิ่น 100,000 บาททุกปี ทุกกลุ่มที่ขึ้นทะเบียน การออกเอกสารสิทธิทำกินในที่ดิน ให้ผู้ที่ทำกินในที่ดินของรัฐ และการปลดล็อกประมงพาณิชย์ ภายใต้ IUU นี่คือสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำนโยบายในเรื่องของการสร้างเงิน 8 นโยบาย และอีก 5 ฟรี คือเรียนฟรี อาหารกลางวันฟรี นมโรงเรียนฟรี และหญิงตั้งครรภ์รับทันที 600 บาทต่อเดือน จนคลอดฟรี 

"เน้นจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เป็นพื้นที่ความมั่นคงทางด้านอาหาร และจะชูนโยบายสันติภาพสู่สันติสุข จังหวัดชายแดนใต้ต้องยุติความขัดแย้ง การสูญเสียชีวิตต้องยุติได้แล้ว และสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" นายนิพนธ์ระบุ

เปิดนโยบายศก.หลังตรุษจีน

ด้านนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงการจัดทำนโยบายของพรรคว่า ได้มีการพูดคุยกับนักวิชาการ ภาคธุรกิจ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อปรับปรุงนโยบายพรรคให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ร่างนโยบายเสร็จแล้ว แต่ต้องรับฟังความคิดเห็นของสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด และตามคำแนะนำของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

"พรรคเตรียมที่จะจัดรับฟังความคิดเห็นสำหรับร่างนโยบายก่อนเปิดสู่สาธารณะ คาดว่าตรุษจีนน่าที่จะเป็นฤกษ์ดี ตรุษจีนเป็นอะไรที่สะท้อนถึงการจับจ่ายใช้สอย การกระตุ้นเศรษฐกิจ ฉะนั้นหลังตรุษจีน พรรคชาติพัฒนากล้าจะนำเสนอร่างนโยบายที่แล้วเสร็จ ซึ่งนโยบายหลักของพรรคที่นำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ไปคลายทุกข์ให้กับพี่น้องประชาชน" นายสุวัจน์ระบุ

ประธานพรรคชาติพัฒนากล้ากล่าวว่า พรรคได้ทำนโยบายที่เน้นเศรษฐกิจ ที่จะนำไปสู่การมีเงิน การมีงาน และของต้องไม่แพง ฉะนั้นหัวใจของนโยบายเศรษฐกิจของชาติพัฒนากล้าคือ ทุกคนมีงานทำ ทุกคนมีเงิน แนวคิดของนโยบายที่จะนำเสนอในการที่จะสร้างแพลตฟอร์ม พื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศ ให้กับพี่น้องประชาชน ที่เราเรียกว่า Spectrum Economy แบ่งเศรษฐกิจตามเฉดสี เช่น นโยบายเศรษฐกิจสีเขียว ก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมสีเขียว โดยจะต้องครอบคลุมผลประโยชน์ของทุกอาชีพที่จะได้รับแล้วก็ครอบคลุมทรัพยากรวัตถุดิบที่ประเทศไทยมีอยู่ที่เป็นจุดแข็ง ซึ่งจะสามารถตอบโจทย์แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่พรรคชาติพัฒนากล้าปล่อยนโยบายเศรษฐกิจชุดแรกออกมา โดยการเสนอยกเลิกแบล็กลิสต์ และให้ปล่อยกู้ด้วยเครดิตสกอร์แทน ล่าสุดได้ออกไอเดียใช้ใบปลิวเงินกู้นอกระบบ แจกจ่ายให้กับประชาชน เพื่อสื่อให้เห็นถึงดอกเบี้ยมหาโหด และแนวทางที่ประชาชนจะเข้าสู่ระบบเงินกู้ในระบบได้ โดยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ในวันที่ 16 ม.ค. เวลา 10.00 น. จะนำคนที่ติดแบล็กลิสต์ มาร่วมแชร์ประสบการณ์การติดแบล็กลิสต์เหมือนตกนรกทั้งเป็นอย่างไร สะท้อนว่าคนอีก 5.5 ล้านคน ต้องตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ถึงเวลาแล้วที่การแก้ปัญหาต้องเปลี่ยนวิธี และรัฐบาลจะต้องกล้าที่จะทำ

อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี พรรคเพื่อไทยเดินทางมาจัดกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทย นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และคณะ ได้พบปะเกษตรกรชาวสวนยาง ซึ่ง น.ส.แพทองธารได้ทดลองกรีดยางพารา และร่วมรับฟังปัญหาต่างๆ จากพี่น้องประชาชนในพื้นที่

น.ส.แพทองธารกล่าวว่า วันนี้ดีใจที่มาเจอ ไม่ได้มาคนเดียว มากับครอบครัวเพื่อไทย และยังเอาเบบี๋ในท้องมาด้วย ใกล้จะ 6 เดือนแล้ว ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมรับฟังปัญหาพี่น้องประชาชน กำลังประสบปัญหาราคาปุ๋ยที่สูง แต่ยางพารากลับขายไม่ได้ราคา รวมถึงยังมีปัญหายาเสพติดที่ทำให้พี่น้องท้อถอยหมดกำลังใจ ซึ่งพรรคเพื่อไทยมาแล้ว เราตั้งใจอยากทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น และเพิ่มโอกาส ขอให้ความหวังให้กำลังใจ เมื่อพี่น้องประชาชนเลือกเราเป็นรัฐบาล จะทำความหวังและความฝันให้เป็นจริง ฉะนั้นจึงมารับฟังความเห็น หากได้เป็นรัฐบาลจะได้แก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

ดันราคายาง 100 บาท

จากนั้นตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยางได้สอบถามการแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ โดย น.ส.แพทองธารกล่าวว่า อย่างที่ทราบกันดี วันนี้เศรษฐกิจไม่ดี ราคายาเสพติดถูกกว่ามาม่าอีก ทำให้ลูกหลานได้รับผลกระทบ ส่วนปัญหาเรื่องยางพารา จะนำเทคโนโลยีมาช่วยทำการเกษตร อย่าตกใจว่าเทคโนโลยีจะเป็นเรื่องยาก เราจะทำให้ใช้ง่าย เหมือนกับใช้ไลน์ เพื่อช่วยเหลือเกษตรและจะเปิดตลาดให้กว้างขึ้น เพราะทุกวันนี้ขายในเมืองไทยไม่พอ ต้องไปขายต่างประเทศด้วย ขออาสาเป็นเซลส์แมนให้ รัฐบาลในอดีตในยุคของเราเคยทำราคายางพาราจากราคา 20 บาทไปถึง 100 บาท ขอถามพี่น้องว่าจะเอาอีกหรือไม่ ถ้าเอาต้องเลือกเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรค เลือกให้ชนะทั้งจังหวัดไปเลย

ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านโคกใหญ่ ตำบลบัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เดินทางเข้ากราบสักการะพระเถระผู้ใหญ่ ร่วมสนทนาธรรม และพบปะพูดคุย ร่วมฟ้อนรำประชาชนในพื้นที่

จากนั้น เวลา 16.00 น. คุณหญิงสุดารัตน์นำทีมผู้บริหารพรรคไทยสร้างไทยเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ บริเวณศูนย์ประสานงานพรรคไทยสร้างไทย ของนางวันเพ็ญ เศรษฐรักษา รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยสร้างไทย จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีประชาชนร่วมฟังการปราศรัยกว่า 20,000 คน

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ในฐานะลูกอีสาน ขอทำให้ชาวอีสานหายจนภายใน 3 ปี ด้วยนโยบาย อีสานมั่งคั่ง อย่างแรกต้องลดหนี้ ลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องประชาชน เช่น ค่าปุ๋ยในการทำการเกษตร และค่าไฟฟ้าที่แสนแพง รู้หรือไม่ว่าคนไทยทั้งประเทศถูกปล้นค่าไฟฟ้า เพื่อไปสร้างความร่ำรวยให้นายทุน ทำให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าความเป็นจริง โดยรัฐเอื้อนายทุนโรงไฟฟ้า ทำสัญญาผลิตไฟล่วงหน้าเกินจำเป็น สูงถึง 53,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่ประชาชนใช้ไฟฟ้าจริงๆ ไม่เคยเกิน 33,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้ประเทศไทยมีการสำรองไฟฟ้าเกินความต้องการใช้จริงสูงถึง 20,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือเกือบ 60% โดยที่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เหล่านี้ แต่ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้ ให้นายทุนเหล่านี้ไปฟรี ๆ ถึงปีละ 26,000 ล้านบาท ทั้งที่โรงไฟฟ้าของนายทุนใหญ่ไม่ได้เดินเครื่องผลิตจริงแม้แต่เมกะวัตต์เดียว

 “เป็นสัญญาทาสทำค่าไฟแพง ปล้นคนไทยทั้งประเทศ แบบนี้ส่อไปในทางทุจริตหรือไม่ พรรคไทยสร้างไทยจะนำประเด็นนี้ไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทุจริต และประพฤติมิชอบกลาง เพื่อยกเลิกสัญญาทาส ที่ปล้นประชาชนไปให้นายทุน ข้าราชการ นักการเมือง ไปเสวยสุข นักการเมืองบางคนเอาเงินที่โกงประชาชนไปใช้เป็นทุนในการซื้อเสียงเลือกตั้ง แล้วเข้ามาโกงพี่น้องประชาชนต่ออีกรอบ ถ้าพี่น้องเลือกไทยสร้างไทยให้เป็นรัฐบาล ดิฉันขอประกาศลดค่าไฟฟ้าทันที ให้เหลือไม่เกิน 3.5 บาทต่อหน่วย” คุณหญิงสุดารัตน์ระบุ

นอกจากนี้ เรื่องน้ำแล้ง น้ำท่วมซ้ำซาก เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้พี่น้องอีสานยากจน พรรคไทยสร้างไทยขออาสาแก้ปัญหานี้ให้สำเร็จ โดยไทยสร้างไทยเป็นรัฐบาล เรามีวิธีที่จะทำให้อีสานเขียวขจี ชาวอีสานจะลาขาดจากความแห้งแล้ง ยามแล้งเราจะนำน้ำจาก สปป.ลาวมาเติมให้ทั่วพื้นที่อีสาน เป้าหมายของไทยสร้างไทย คือการสร้างรายได้ให้ชาวอีสาน ด้วยนโยบาย “อีสานมั่งคั่ง” เลือกไทยสร้างไทย พี่น้องจะหายจน หมดหนี้ มีรายได้ดีภายใน 3 ปีอย่างแน่นอน.      

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชงไทยบี้เมียนมา งดขายน้ำมันให้ เจรจาสันติภาพ

"โรม" เสนอให้ไทยงดขายน้ำมันให้ "เมียนมา" ปูดใช้ไทยฟอกเงินเครือข่ายซื้ออาวุธที่ใช้ปฏิบัติการ เตือนถูกดึงไปเอี่ยวร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์