กกต.สั่งแบ่งเขตใหม่5จว.

“วิษณุ” สะกิด กกต.หารือศาลรัฐธรรมนูญ ประเด็นนับคนต่างด้าวให้เบ็ดเสร็จ ชี้มีผลต่อการเลือกตั้งบางพื้นที่ จับตาเวทีหารือพรรคการเมืองเคาะค่าใช้จ่าย  ส.ส.-พรรค ชี้เมื่อปลายปี 2565 ส่วนใหญ่เห็นชอบสูตร  ส.ส. 6.5 ล้าน พรรค 152 ล้านบาท “จตุพร” เชื่อข่าว ส.สุรเกียรติ์คั่วแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยมีมูล หากดูตัวอย่างไทยรักษาชาติ กวักมือเรียก “ทักษิณ” กลับมาประเทศจะได้ก้าวพ้นกับดักเสียที ตระกูล "เรี่ยวแรง" ยกครัวซบภูมิใจไทยหวังปักธงนนทบุรี “อ๋อม สกาวใจ” มาตามคาดสังกัดเพื่อไทย

เมื่อวันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ได้เสนอแนะไปว่าเป็นห่วงเรื่องของคนต่างด้าวในแต่ละพื้นที่ว่าจะรวมเป็นประชากรในเขตด้วยหรือไม่ ซึ่ง กกต.แจ้งว่าที่ผ่านมาได้รวมประชากรแรงงานต่างด้าวในเขตนั้นๆ ด้วย ทั้งนี้เพราะรัฐธรรมนูญไปเขียนว่า ต้องใช้จำนวนราษฎรตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย (มท.) ซึ่งในประกาศของ มท.นั้นรวมคนต่างด้าวไว้ด้วย ทั้งที่ความจริงมันแยกได้ เป็นคนไทยล้วนกับคนต่างด้าว ซึ่งขอให้ กกต.ขอความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญเอาเองว่าจะต้องรวมหรือไม่รวม

“แรงงานต่างด้าวมันจะมีมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละเขต ต้องยอมรับว่าบางจังหวัดมีผล บางจังหวัดไม่มีผล  แม้ว่าคนต่างด้าวเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง แต่ก็สงสัยว่าจะไปนับเขาด้วยทำไม เพราะคนพวกนี้เวลาที่ประเทศเขามีการเลือกตั้ง เขาก็เดินทางกลับไปเลือกตั้งได้” นายวิษณุระบุ 

เมื่อถามว่า กกต.ได้มาหารือเกี่ยวกับการออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้วหรือยัง นายวิษณุกล่าวว่า ไม่มี ยังไม่จำเป็นต้องคุย เราให้เวลาเขาหนึ่งเดือน ซึ่งเขาร่างไว้แล้ว ไม่ได้ยุ่งยากอะไร

ต่อข้อถามที่ว่า แสดงว่าโดยหลักๆ จะรอให้ กกต. จัดการเรื่องแบ่งเขตเลือกตั้งให้เสร็จสิ้นภายในเดือน ก.พ.นี้  จึงค่อยเดินหน้าออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใช่หรือไม่  นายวิษณุกล่าวว่า อาจเสร็จก่อนสิ้นเดือน ก.พ.เล็กน้อย  ตอนนั้นมาคุยกันอีกที ขณะนี้ยังไม่รู้จะคุยอะไร เค้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเขตเลือกตั้งอยู่ที่ไหนอย่างไร      

ขณะที่สำนักงาน กกต.​แจ้งว่า ข้อมูล ณ วันที่ 3 ก.พ.66 ในฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมือง ยังไม่มีพรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครได้ครบ 77 จังหวัด โดยพรรคที่ส่งได้มากที่สุดคือ 72 จังหวัด รองลงมาคือ 71 จังหวัด  นอกนั้นต่ำกว่า 70 จังหวัด

มีรายงานแจ้งอีกว่า ในการประชุมหารือกับหัวหน้าพรรคการเมืองเพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง ส.ส.  ที่สำนักงาน กกต.จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 8 ก.พ.นั้น จะมีการหารือเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.สแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ โดยมีรายงานว่าวงเงินที่สำนักงาน กกต.คิดคำนวณและกำหนดเบื้องต้นเพื่อให้พรรคการเมืองพิจารณา กรณีสภาอยู่ครบวาระที่ พ.ร.บ.ประกอบ​รัฐธรรมนูญ​​ว่าด้วยการเลือกตั้ง  ส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 64 (1) กำหนดให้คิดคำนวณค่าใช้จ่ายที่ใช้จ่ายไปในช่วง 180 วันก่อนวันที่ กกต. ประกาศให้มีการเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งนั้น กกต.จึงกำหนดว่าผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งใช้จ่ายได้คนละ  6,528,375 บาท และแบบบัญชีรายชื่อหรือพรรคการเมืองใช้จ่ายได้ 152,327,758 บาท ส่วนกรณียุบสภา ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งใช้จ่ายได้คนละ  1,740,900 บาท และแบบบัญชีรายชื่อหรือพรรคการเมืองใช้จ่ายได้ 40,620,999 บาท 

“ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 2565 กกต.ได้มีหนังสือแจ้งข้อมูลดังกล่าวเพื่อสอบถามความคิดเห็นจากทุกพรรคการเมือง โดยส่วนใหญ่มีหนังสือตอบกลับมาว่าเห็นด้วยกับวงเงินค่าใช้จ่ายที่ กกต.กำหนด ซึ่งหลังจาก กกต.หารือกับหัวหน้าพรรคการเมืองในวันดังกล่าวจนได้ข้อสรุปแล้ว ก็จะประชุมและออกประกาศกำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายของผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแต่ละคนและของพรรคการเมือง”

 มีรายงานแจ้งอีกว่า ในการประชุมวันดังกล่าวยังจะหารือเกี่ยวกับการปิดประกาศและการติดแผ่นป้ายหาเสียงเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส. การสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง การสนับสนุนการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีวิทยุโทรทัศน์ การจัดเวทีประชันนโยบายบริหารประเทศสำหรับพรรคการเมือง และการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่พรรคการเมืองประจำปี 2566 ด้วย

‘บิ๊กป้อม’ เดินสายขอนแก่น

สำหรับความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ นั้น ที่วัดสายราษฎร์บำรุง บ้านป่าเหลื่อม ต.ดอนช้าง อ.เมืองขอนแก่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.)  พร้อมคณะ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการแก้มลิงแก่งน้ำต้อน พร้อมอาคารประกอบ (ระยะที่ 1) อ.เมืองขอนแก่น โดยมีประชาชนในพื้นที่กว่า 1,000 คนมาร่วมต้อนรับและผูกผ้าขาวม้าให้ โดย พล.อ.ประวิตรมีสีหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา

ทั้งนี้ ก่อนเดินทางกลับ พล.อ.ประวิตรได้พูดคุยกับประชาชนที่มารอต้อนรับ โดยบางคนเข้ามากอดหรือหอม  บางคนก็เบะปากใส่ ขณะที่ พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนสั้นๆ ว่า รู้สึกพอใจกับโครงการแก้มลิงแก่งน้ำต้อน  ส่วนการที่ชาวบ้านต้องการให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30  นั้น ประชาชนก็ต้องเลือกสิ

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงนิด้าโพลที่สำรวจความเห็นของประชาชน จ.นครราชสีมาว่าจะเลือกพรรคการเมืองไหน ซึ่งปรากฏว่านายอนุทินอยู่ในลำดับที่ 7 ว่า ไม่รู้ว่าโพลเป็นอย่างไร มัวแต่เดินหาเสียง และมีความพร้อมในการเลือกตั้ง เพราะเข้าช่วงสุดสัปดาห์ก็ต้องเดินสายไปหลายแห่ง และมาจบที่ กทม. 

 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี  และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงผลสำรวจของนิด้าโพลเช่นกันว่า ขอขอบคุณพี่น้องประชาชน  ขอบคุณนิด้าโพลที่สำรวจความคิดเห็นของพี่น้องชาวโคราช ซึ่งเป็นบ้านเกิด พล.อ.ประยุทธ์และบ้านเกิดตนเอง  โดยเฉพาะพี่น้องชาวโคราชและอีสานที่เห็นถึงผลงานรัฐบาลที่จับต้องได้ จึงลงคะแนนความนิยมให้เราว่าจะเลือก  พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ และเลือกผู้สมัครของพรรคทั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อ

นายเสกสกลยังกล่าวว่า พรรคเพิ่งตั้งใหม่และ พล.อ.ประยุทธ์เพิ่งสมัครเป็นสมาชิกพรรคไม่ถึงเดือน แต่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนขนาดนี้ ได้คะแนนมากกว่าพรรคการเมืองเก่าแก่หลายพรรค จึงแสดงว่าประชาชนฝากความหวังและอยากเห็น พล.อ.ประยุทธ์ สานงานต่อก่องานใหม่ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมเหมือนที่ผ่านมา นี่เปรียบเสมือนกำลังใจให้พรรคได้ทำงานอย่างหนักเพื่อพี่น้องประชาชน

 “จากนี้ไปจนกว่าจะยุบสภา เราจะนำเสนอผลงานที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ และนำเสนอนโยบายของพรรคต่อพี่น้องประชาชน เรายืนยันว่านโยบายทุกอย่างทำได้จริง เป็นที่ประจักษ์เหมือนผลงานในอดีตที่ผ่านมา ขอให้พี่น้องสนับสนุนเราด้วย” นายเสกสกลกล่าว

มีรายงานจากพรรค รทสช.เปิดเผยว่า หลังจากก่อนหน้านี้ที่มีการเสนอให้จัดเวทีปราศรัยครั้งที่ 2 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคการเมือง ที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ พล.อ.ประยุทธ์​ ในเวทีรวมไทยสร้างชาติสู่อีสาน วันที่ 18 ก.พ.นี้ ล่าสุดกิจกรรมดังกล่าวถูกเลื่อนออกไปก่อน และจะมีการประชุมหารือเพื่อกำหนดวันอีกครั้งในภายหลัง

ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ตอน “สุดลิ่ม ทิ่มประตู” โดยเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทย (พท.) ประกาศไม่จับมือกับ พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้เด็ดขาดชัดเจน และให้สัญญาสาธารณะเป็นเดิมพันว่า ถ้าภายหลังไปจับมือกันพร้อมให้ประชาชนออกมาชุมนุมขับไล่ เหมือนกรณีเหตุการณ์พฤษภา 2535 ในการตระบัดสัตย์ของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร

เชื่อข่าว ‘ส.สุรเกียรติ์’ มีมูล

นายจตุพรยังระบุว่า นักวิเคราะห์คาดชื่อย่อ ส.เสือตัวใหญ่เป็น ส.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ  ของพรรคเพื่อไทย เพราะมุ่งมั่นฝ่าฟันอุปสรรคไปจนถึงสิ่งต้องการมากกว่า ส.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งทั้งคู่เป็นรองนายกฯ สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นอกจากนี้ ส.สุรเกียรติ์ เคยเสนอตัวเป็นตัวแทนจากไทยเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ แต่ไม่ได้รับเลือก กระทั่งเกิดการยึดอำนาจปี 2549 จากนั้นก็หายไปจากการเมืองร่วม 18 ปี แล้วต่อมามีภาพปรากฏถึงการรับใช้ราชวงศ์

 “แม้อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวทักษิณและหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยปฏิเสธ แต่ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ เนื่องจากมีปรากฏการณ์ปี 2562 พรรคไทยรักษาชาติเสนอชื่อราชวงศ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ มาแล้ว จนสร้างความตกตะลึงให้ทุกพรรคการเมือง วันนั้นถ้าได้เดินหน้าต่อไป การเมืองก็ไม่รู้จะเดินหน้าอย่างไร รัฐบาลก็ไม่รู้ทำอย่างไร ฝ่ายค้านก็ไม่รู้จะอภิปรายอย่างไร ส่วนการหาเสียงก็คงยากและทำไม่ถูกเลย ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะเดินยากมากที่สุด ดังนั้นผมได้บอกว่า การคิดเกมใหญ่ต้องการชนะคนเดียวทั้งกระดานการเมืองแล้ว เมื่อต้องเสียก็ล้มทั้งกระดานเช่นกัน” นายจตุพรระบุ

นายจตุพรกล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่จะเกิดขึ้น ชื่อ  ส.สุรเกียรติ์ถูกเชื่อมโยงภาพเป็นบุคคลจงรักภักดีและทำงานใกล้ชิดสถาบัน จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทย  แม้ส่วนตัวมีความต้องการเป็นนายกฯ ตามความอยากของมนุษย์ แต่ความเหมาะสมในสถานภาพของบุคคลในปัจจุบันโลกติเตียนได้ ซึ่ง ส.สุรเกียรติ์ควรต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และควรทำอย่างไร เชื่อว่า ส.สุรเกียรติ์จะตัดสินใจอย่างไร แม้เรื่องนี้เป็นเพียงทางการข่าว ปะติดปะต่อเชื่อมโยงการทาบทามเพื่อไปบรรลุเป้าหมายกลับบ้านโดยไม่ใช้กฎหมาย แต่ถึงที่สุดก็ไม่ง่ายตามความประสงค์ของใครก็ตาม

นายจตุพรย้ำว่า การตัดสินใจจะกลับบ้านของนายทักษิณ ตนเรียกร้องให้กลับมาในวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ แม้มีการวิเคราะห์จะกลับก่อนเลือกตั้ง แต่ขอให้กลับมาเลย  เพราะเป็นสิ่งดีที่จะทำให้ทุกอย่างได้จบ ไม่มีการค้างคาใจกับความขัดแย้ง จนประเทศไม่สามารถก้าวข้ามกับดักได้เลย และการที่ทันทีทักษิณประกาศกลับบ้าน เท่ากับชุบชีวิตการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ฟื้นคืนกลับมาอีก จนกลายเป็นทางเลือกระหว่างกลยุทธ์ ใครไม่เอาประยุทธ์เลือกทักษิณ และพวกไม่เอาทักษิณเลือกประยุทธ์ ซึ่งจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งดำรงอยู่ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง แล้วส่อเป็นชนวนวิกฤตทุกเรื่องราวของประเทศไม่มีวันจบสิ้น

 “ที่บอกใช้ใจกลับบ้านอย่างเดียว ถ้ายังมีใจอยู่ก็เร่งกลับ รีบมาจบเรื่องนี้ด้วยกันเถอะ (ทักษิณ) กลับมา ลูกน้องท่านก็อยู่ในคุกมากมาย ผมเข้ามา 5 ครั้งแล้ว หลายคนจ่อเข้าคุกยังมีอีก ดังนั้นถ้าไม่มีความชัดเจน เพียงนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการเมืองเพื่อกวาดคะแนนเสียงอย่างเดียว ความขัดแย้งไม่มีวันจบและประเทศไม่ได้ก้าวข้ามกับดักนี้มายาวนาน” นายจตุพรเฟซบุ๊กไลฟ์

นายจตุพรกล่าวถึงกรณีพรรค พปชร.กับพรรค พท.ว่า  มีการปฏิเสธความสัมพันธ์แบบไม่ขาดชัดเจน แม้หัวหน้าพรรคแถลงตามมติพรรคว่าจะไม่จับมือกันเด็ดขาด แต่คนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคกลับมาอธิบายว่า ไม่จับมือกันในเวลานี้ ซึ่งเกิดความรู้สึกทางการเมืองแบบอึมครึม โดยต้องจับตาการเคลื่อนไหวของแกนนำหลัก พปชร.อย่างน้อย 3  คน เป็น 2 รัฐมนตรีกับ 1 รองประธานสภาจะย้ายพรรคไปเพื่อไทย ซึ่งประเมินถึงความเติบโตในตำแหน่งอนาคตเมื่อทั้งสองพรรคได้จับมือร่วมเป็นรัฐบาลกัน เพราะถ้าอยู่พรรคเดิมอย่าง พปชร.โอกาสได้โควตารัฐมนตรีมีน้อย ด้วยเหตุนี้จึงต้องโยกย้ายมาเพื่อไทยที่จะเป็นพรรคใหญ่ โควตารัฐมนตรีก็มากตามมาด้วย

 “ถ้า ส.ตัวใหญ่มาเพื่อไทย ทางการเมืองอธิบายอนาคตของ พล.อ.ประวิตรพร้อมมาเป็นรองนายกฯ ได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่น ขณะที่พลังประชารัฐมากบารมีในกลไกรัฐ  ประกอบกับหากในกรณี พล.อ.ประยุทธ์ไปไม่ถึงนายกฯ  แล้ว โอกาสของ พล.อ.ประวิตรย่อมสวมเข้าแทนอำนาจเดิมทั้ง ส.ว.และองค์กรอิสระ เพื่อเป็นนายกฯ สืบทอดด้วยการจับมือกับเพื่อไทย” นายจตุพรระบุ

นายจตุพรย้ำว่า ถ้าวันหนึ่งพรรค พปชร.กับ พท.จับมือกันจริง จะให้ประชาชนทำอย่างไร เพราะมีกรณีของ  พล.อ.สุจินดาในปี 2535 มาแล้ว แม้รับปากไม่เป็นนายกฯ แต่มาอ้างว่ายอมเสียสัตย์เพื่อชาติ เข้ารับตำแหน่งนายกฯ ประชาชนจึงชุมนุมต่อต้านเต็มถนน กทม. เช่นนี้บอกมาเลยว่าถ้า พปชร.กับ พท.จับมือกัน หากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงให้ประชาชนมาขับไล่ได้เลย ออกมายืนยันเลย เพราะกระดานทางการเมืองมันไม่มีความลับ

‘เรี่ยวแรง’ ยกครัวเข้าภูมิใจไทย

วันเดียวกัน ยังคงมีการเปิดตัว ส.ส.ย้ายสังกัดอย่างต่อเนื่อง โดยที่พรรค ภท. นายอนุทินพร้อมด้วยนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อและนายทะเบียนพรรค ให้การต้อนรับนายฉลอง เรี่ยวแรง, นางเจริญ เรี่ยวแรง อดีต ส.ส.นนทบุรี พรรค พปชร. และ น.ส.ปารมี เรี่ยวแรง บุตรสาว ที่มาเปิดตัวเข้าร่วมงานกับพรรค

โดยนายอนุทินกล่าวว่า พรรค ภท.ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ทั้ง 3 ท่าน ซึ่งจะเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี ทั้ง 3 ท่าน เราดีใจมากที่ท่านนำครอบครัวเรี่ยวแรงมาร่วมงานการเมืองกับพรรค ซึ่งเชื่อว่าทั้ง 3 ท่านจะทำงานให้ จ.นนทบุรีได้อย่างเต็มที่

 ด้านนายฉลองกล่าวถึงสาเหตุย้ายมาพรรค ภท.ว่า  มีนโยบายที่โดนใจ อีกทั้งเป็นคนเป็นเก่าแก่เจตนารมณ์จึงตรงกับพรรค เรื่องการคงไว้ของมาตรา 112 สิ่งที่ครอบครัวตนตัดสินใจมา เพราะทุกอย่างที่พรรคภูมิใจทำชัดเจน  และการที่การเลือกตั้งครั้งนี้ใช้บัตร 2 ใบ จึงมั่นใจว่าจะปักธงได้และทำงานร่วมกับพรรคได้

ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรค นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคเพื่อไทย น.ส.ธีรรัตน์  สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรคเพื่อไทย รวมทั้ง  ส.ส.กทม.และสมาชิกพรรค ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จันทบุรี 2 คน และ กทม. 3 คน

โดยนายประเสริฐกล่าวว่า ผู้ซึ่งประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.จันทบุรี 2 คน คือ นายวันทิต ตั้งรักษาสัตย์  และนายนิติรุจน์ ศิระวิเชษฐ์กุล สำหรับว่าที่ผู้สมัคร กทม.  3 คน ได้แก่ น.ส.สกาวใจ พูนสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตสะพานสูง-ประเวศ, นายเอกภาพ หงสกุล ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตสายไหม และ น.ส.กมลพัฒน์ ปุงบางกะดี่ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางขุนเทียน 

น.ส.สกาวใจกล่าวว่า การที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตสะพานสูง เพราะตนทั้งเรียนและใช้ชีวิตในพื้นที่ดังกล่าว ที่อาสามาลงสมัครพื้นที่นี้ไม่ได้มาเพื่อแพ้ มาเพื่อชนะ หวังว่าจะแก้ปัญหาทุกอย่างให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า 

นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เผยว่า ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขตบางกะปิอีกสมัย และมั่นใจว่าพรรคเป็นพรรคทางเลือกใหม่ เป็นทางรอดของประเทศ จะนำพาประเทศออกจากวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองได้ โดยเราจะไม่สร้างวิกฤตทางการเมืองเพิ่ม แต่จะมุ่งหน้าสร้างนโยบายดีๆ  เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อคนตัวเล็ก และทลายกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง