‘บิ๊กตู่’เอาใจ‘อบต.’ มท.ถกขึ้นค่าตอบแทน4แสนคนทั่วปท./สมศักดิ์อยู่ต่อพปชร.

"บิ๊กตู่" กังวลบางพรรคเสนอเพิ่มสวัสดิการใช้งบ 8 แสนล้าน ถามเอาเงินมาจากไหน ย้ำยังห่วง "พี่ป้อม" เหมือนเดิม เตรียมลง จ.สุราษฎร์ธานี 13 ก.พ. "บิ๊กป๊อก" แจงปมคำนวณราษฎรแบ่งเขตเลือกตั้ง นับต่างด้าว-เด็กต่ำ 18 ปีด้วย แต่ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง "รทสช." ยังไม่เคาะวันปราศรัยโคราช เตรียมชูจุดขาย "ประยุทธ์" นายกฯ ลูกอีสานของแท้ "กลุ่มสามมิตร" ชัดเจน "สุริยะ-สมศักดิ์" บอก "ลุงป้อม" อยู่ต่อ พปชร. "อนุทิน" ลั่น ภท.ไม่คิดร้ายทักษิณ ระบุ 80% เริ่มต้นจาก ทรท. "สมาชิก อบต." 4 แสนคนลุ้นขึ้นค่าตอบแทน หลัง “พีระพันธุ์” แย้มมหาดไทยเตรียมพิจารณา 8 ก.พ.นี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 7 ก.พ. เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และคณะผู้บริหาร เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เพื่อนำเสนอกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้วันส่งเสริมอินเทอร์เน็ตปลอดภัยแห่งชาติ ตามด้วยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะผู้บริหาร นำเสนอนิทรรศการประกาศรางวัลเกียรติยศจากนายกรัฐมนตรี (Prime Minister’s Digital Award 2022)

จากนั้น นายสำรวย เกษกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และคณะผู้บริหาร เข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรม “สื่อรักด้วยใจ รักใครให้หอม” ปี 2566 จังหวัดศรีสะเกษ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับตัวแทนเกษตรกรในตอนท้ายว่า “รู้ใช่ไหมนายกรัฐมนตรีชอบหวาน เป็นคนไม่ค่อยหวาน ต้องเติมน้ำตาล" ซึ่งทำให้บรรยากาศครื้นเครง

ต่อมาภายหลังการประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า ในที่ประชุม ครม. ตนได้แสดงความห่วงใยเรื่องงบประมาณในเรื่องสวัสดิการต่างๆ ที่มีการพูดว่าจะให้นี่ให้นั่นเพิ่มขึ้น จะกลายมาเป็นภาระของงบประมาณ ตนได้บอกที่ประชุม ครม.ขอให้ระมัดระวังด้วย เพราะในการเพิ่มงบสวัสดิการต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในส่วนของข้าราชการและประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา นมโรงเรียน ซึ่งทั้งหมดใช้งบประมาณจำนวนมาก และจากจำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้นก็ต้องใช้อีก แต่บางพรรคเสนอมา 8 แสนล้าน พรรคเดียว ตนไม่รู้ว่าเขาจะหาเงินจากตรงไหนมา ตรงที่พูดเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบว่างบประมาณของรัฐบาลที่มีอยู่ มีทั้งงบรายจ่ายประจำ ถ้าถูกดึงไปใช้ตรงนี้หมดแล้วประเทศไทยจะอยู่ได้อย่างไร

"ผมไม่เข้าใจ จึงขอให้ประชาชนได้พิจารณาด้วยแล้วกัน หลายอย่างเราได้ทำมาบ้างแล้วและเกิดผลสัมฤทธิ์มาพอสมควร แต่บางอย่างต้องแก้ไขกันต่อไปเพื่อให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เราทำหลายๆ อย่างในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ในเชิงโครงสร้าง กฎหมาย ซึ่งเป็นวิธีการในการแก้ไขปัญหา ทุกรัฐบาลต้องทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำแบบนี้จะกลับไปสู่เหมือนเดิมทุกอย่าง" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว 

ถามถึงเหตุผลหากจะตัดสินใจสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอบทันทีว่า “เดี๋ยวผมตัดสินใจของผมเอง ยังไม่รู้ เดี๋ยวผมตัดสินใจเอง ขอให้ถึงเวลาก่อน วันนี้ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้น ถ้าเป็นเรื่องในใจ ขอให้เป็นเรื่องในใจของผม เป็นเรื่องในใจจะมาพูดนอกใจได้อย่างไรล่ะ ขอยังไม่ตอบ”

ซักถึงท่าทีของกลุ่มสามมิตรที่อยู่ในซีกของรัฐบาลปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของสามมิตร มันเกี่ยวอะไรกับตน เมื่อถามย้ำว่ามีกระแสข่าวว่ากลุ่มสามมิตรจะส่ง ส.ส.ในสังกัดไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็เรื่องของเขา เมื่อถามอีกว่า แต่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ไปถามเขาสิ ไปถามท่าน 

ห่วงหาเสียงเพิ่มสวัสดิการ

ต่อข้อถามว่า แสดงว่าอนาคตจะมีรัฐบาลข้ามขั้วใช่หรือไม่ หรือมี ส.ส.ฝากเลี้ยงใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่มีอะไรทั้งนั้น ตนยังไม่คิดอะไรทั้งนั้น เป็นเรื่องของการเลือกตั้ง เรื่องสำคัญที่สุดคือ เรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้ง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนตรงนั้น แต่ตนได้รับการยืนยันมาว่าจะไม่มีการที่จะเอาชาวต่างชาติมาลงคะแนนด้วย มันเป็นเพียงการเสนอว่าในแต่ละพื้นที่มีคนอยู่เท่าไหร่ มีต่างชาติเท่าไหร่ มีแรงงานเท่าไหร่ แต่สำคัญที่สุด คนที่เป็นคนไทยต้องมาเลือกตั้ง ไม่มีประเทศไหนเขาให้คนต่างประเทศมาเลือกตั้งในประเทศไทยหรอก เข้าใจหรือไม่ 

ถามว่า เมื่อช่วงเช้านายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรค ภท. ได้เข้าไปพบนายกฯ เพื่อขอโทษเรื่องที่ลูกพรรค ภท.พาดพิงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ไม่มีอะไร นายอนุทินมาชี้แจงให้ฟังเท่านั้นเอง

เมื่อถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้จะต้องทำความเข้าใจกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะเข้าใจอะไรล่ะ หัวหน้าแต่ละพรรคเขามีความคิดของเขาอยู่แล้ว 

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงความสัมพันธ์กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พปชร. ว่าไม่มีอะไร ก็พูดคุยกับท่านปกติ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ก็มีความเป็นห่วงกัน

ถามย้ำว่า แต่บางครั้งลูกพรรคอาจจะพูดจากระทบกระทั่งกันบ้าง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ได้บอกไปแล้วว่าต่างคนต่างหาเสียงกันไป แต่ต้องระมัดระวังในภาพรวมแล้วกัน เพราะพรรคที่ตนไปเป็นสมาชิก ก็สั่งไปแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับใครเขา 

นายกฯ กล่าวด้วยว่า ในการประชุม ครม.วันนี้ได้ทบทวนให้ ครม.ทราบที่เราทำงานกันมา 7 ปีกว่า มีการประชุม ครม.ทั้งหมดทุกสัปดาห์ รวม 52 สัปดาห์ 7 ปีกว่า 8 ปี 400 กว่าครั้งแล้วใช่หรือไม่ การประชุม ครม. มีหลายอย่างที่เราได้แก้ไขปรับปรุง แก้ปัญหาอุปสรรคต่างๆมีนโยบายออกมาหลายเรื่อง นั่นคือผลงานร่วมของรัฐบาลที่ทุกกระทรวงทบวง ร่วมมือกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 13 ก.พ.พล.อ.ประยุทธ์มีกำหนดเดินทางไปปฏิบัติราชการที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อตรวจโครงการบรรเทาอุทกภัยและบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ พื้นที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี (โครงการประตูระบายน้ำคลองหัววัว) ต.ตะกรบ อ.ไชยา และเดินทางต่อไปยังหาดนายอำเภอ อ.ไชยา เพื่อเปิดงานมหกรรมว่าวสุราษฎร์ธานี (Suratthani Kite Festival) ก่อนเดินทางกลับ

มีรายงานว่า ในที่ประชุม ครม. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องการคำนวณประชากรต่อเขตเลือกตั้ง กรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการนับจำนวนแรงงานต่างด้าวเข้ามาด้วยว่า การนับจำนวนประชากร นอกจากนับแรงงานต่างด้าวแล้ว ยังนำจำนวนประชากรที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ไม่มีสิทธิเลือกตั้งมาคำนวณด้วย เพื่อเอามาใช้ในการแบ่งเขตเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงแรงงานต่างด้าวมีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งนี้ จำนวนคนต่างด้าวทั่วประเทศมีประมาณกว่า 1 ล้านคน ไม่ได้ถือว่ามากมายอะไร  

นอกจากนี้ มีอยู่ช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวถึงการใช้งบประมาณสำหรับการดูแลประชาชนว่า ที่ผ่านมาเราใช้งบประมาณดูแลประชาชนเป็นล้านล้านบาทแล้ว ถือเป็นจำนวนไม่น้อย และเราดูแลเต็มที่แล้ว ถ้าจะเพิ่มงบไปอีก 8 แสนล้านบาทตามที่พรรคการเมืองเสนอ ตนไม่ได้พูดว่าพรรคไหน แต่ใครเป็นรัฐบาลไปดูเอาเองแล้วกัน ฝากดูแลเอง ไปหาเงินเอาเองแล้วกัน ขณะที่ในช่วงท้ายการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ยังได้กล่าวว่า การประชุม ครม.ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 400 เวลาทำงานเยอะขนาดนี้ หาเวลาชี้แจงด้วยว่าเราทำอะไรไปบ้าง

รทสช.ชู'บิ๊กตู่'ลูกอีสานแท้

ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรค รทสช. รับผิดชอบภาคอีสาน กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมส่งผู้สมัครของพรรคในภาคอีสานว่า วันนี้ตนได้ยืนยันกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคไปว่าภาคอีสานถ้าจะหาผู้สมัครครบทุกเขตไม่ใช่เรื่องยาก เคาะวันไหนทำได้ทันที การคัดกรองผู้สมัครขอเวลาสักระยะหนึ่ง คนที่เราเลือกไม่ได้คำนึงว่าเป็นใคร หรือคนของพรรคไหน เราดูจากความตั้งใจ ไม่ใช่มาคุยหลายพรรค รับปากแล้วยังไปพรรคอื่นอีก แบบนี้ถือว่าไม่มีความมั่นใจที่จะทำการเมืองด้วยกัน เคาะราคาไปเรื่อยๆ แบบนี้พรรคไม่เอา ถ้าคนที่ตั้งใจทำการเมืองจริงๆ เราก็ยินดีสนับสนุน ยอมรับว่ามีคนเสื้อแดงและ นปช.รวมอยู่ด้วยหลายจังหวัด

นายวิทยากล่าวว่า ไม่ได้วางเป้าว่าจะได้ ส.ส.จำนวนเท่าใด แต่เชื่อว่าคะแนนในภาคอีสานเป็นคะแนนที่มากับรวมไทยสร้างชาติแบบไม่ปกติ แลนด์สไลด์ของจริง ไม่เป็นสองรองพรรคเพื่อไทย วันนี้เท่าที่เจอคนภาคอีสานเขาอยากได้คนที่เกิดในภาคอีสานจริงๆ เป็นนายกฯ ซึ่งเขาเจอแล้วชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนที่เกิดโคราชจริงๆ มีแม่อยู่ จ.ชัยภูมิ พรรคเอาเรื่องจริงไปเล่าให้ประชาชนฟัง และเขาเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำงานให้คนทั้งชาติได้ ไม่ต้องผูกขาดว่าลูกอีสานจะพัฒนาแต่ภาคอีสานอย่างเดียว ใครจะโจมตีจึงมีผลน้อยมาก

"ประเด็นนี้จะเป็นจุดขายที่พรรคจะใช้เป็นโมเดลหนึ่งในการหาเสียง เพราะนับวันคนจะผูกพันกับ พล.อ.ประยุทธ์มากขึ้น และสิ่งที่ชาวบ้านพูดถึงคือชาวบ้านไม่เคยได้รับอะไรโดยตรงมากเหมือนรัฐบาลชุดนี้ ชาวบ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ถือเป็นนักการเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริต อยู่มา 8 ปีไม่เคยมีใครด่าว่าทุจริต นี่คือปรากฏการณ์ของคนในชาติ เป็นความภาคภูมิใจของพรรคและคนอีสานในยุคนี้ ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นจุดขายของพรรค จะเอาของจริงไปพูดให้ประชาชนรับรู้ทั่วทุกภาค ไม่ใช่การหาเสียง แต่เป็นการพูดความจริง รวมถึงชาวบ้านเขารู้รับสิ่งที่ได้จากรัฐบาลชุดนี้คือ บัตรลุงตู่-บัตรประยุทธ์ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และชาวบ้านเรียกร้อง” นายวิทยากล่าว

รองหัวหน้าพรรค รทสช.กล่าวว่า เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ประกาศตัวมาอยู่พรรค รทสช. เลยเกิดแรงกระเพื่อมรุนแรงมากขึ้น กระเพื่อมรอบแรก นปช.กับคนเสื้อแดงบางส่วนมาอยู่กับเรา กระเพื่อมรอบที่สองเป็นนักการเมืองในภาคอีสาน จะเห็นบรรยากาศหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ประกาศตัวจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ก็มีคนมาแสดงความจำนงเยอะมากในทุกเขตจนล้น บางเขตต้องคัดออก

ถามถึงการจัดปราศรัยที่ จ.นครราชสีมา รองหัวหน้าพรรค รทสช.กล่าวว่า เรามีการนัดจะจัดกันที่โคราช แต่ยังไม่ได้มีการกำหนดวันแต่อย่างใด ซึ่งต้องดูความพร้อมของคนในพื้นที่ที่จะไปประสานเรื่องการปราศรัย การเตรียมการ รายละเอียดที่ต้องคุยกัน และค่อยกำหนดวัน

สำหรับวันนี้ถือเป็นวันกำหนดเส้นตายของการย้ายพรรคเพื่อหาสังกัดพรรคใหม่ ของ ส.ส. จึงมีการจับตาว่าจะมีรัฐมนตรีตัดสินใจย้ายพรรคสังกัดหรือไม่

โดยนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงความชัดเจนในการตัดสินใจอนาคตทางการเมือง โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้วันที่ 7 ก.พ.แล้ว จะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไร นายจุติได้แต่ยิ้มพร้อมชูนิ้วโป้ง 2 ข้างให้กับผู้สื่อข่าว

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเข้าพรรค รทสช.ว่า จะดำเนินการหลังจากภารกิจการเป็นผู้ประสานงานระหว่าง ส.ส.และรัฐมนตรีของรัฐบาลเสร็จสิ้นเรียบร้อยก่อน อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้กังวลเรื่องของการย้ายเข้าสังกัดพรรคไม่ทันตามกรอบเวลา 90 วัน ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรครบวาระ 

'สุริยะ-สมศักดิ์'อยู่ พปชร.

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกระแสข่าวกลุ่มสามมิตรจะแยกกันไปสังกัดพรรคการเมือง โดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร. จะย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทยว่า “ก็ไปถามเขาดูสิ”

ถามย้ำว่า จะสอบถามนายสมศักดิ์ ถึงข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ พล.อ.ประวิตรยิ้มและส่ายหัว โดยไม่ตอบคำถาม ก่อนจะขึ้นรถเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาล

นายสุริยะ​ จึง​รุ่งเรือง​กิจ​ รมว.​อุตสาหกรรม​ และ ส.ส.พรรค พปชร. กลุ่มสามมิตร​ กล่าวว่า ​ตนและนายสมศักดิ์​ เทพ​สุ​ทิน​ รมว.​ยุติธรรม​​ ได้ยืนยันกับ พล.อ.ประวิตรว่าการเลือกตั้งจะอยู่กับพรรค พปชร.​ต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาไม่ออกมาพูดผ่านสื่อ​

ถามว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะอยู่กับพรรค พปชร.ต่อไปหรือไม่ นายสุริยะ​ กล่าวว่า​ ถูกต้องครับ​ ยืนยันไม่เปลี่ยนใจไม่เปลี่ยนใจ​ ส่วนที่มีกระแสข่าวจะย้ายไปพรรคเพื่อไทยนั้น​ ตนไม่ทราบว่ามีกระแสข่าวออกมาได้อย่างไร​

ซักถึงข่าวกลุ่มสามมิตรจะใช้วิธีดาวกระจายย้ายไปพรรคต่างๆ​ นายสุริยะ​ กล่าวว่า​ ตนและนายสมศักดิ์จะอยู่กับพลังประชารัฐต่อไป​ ส่วนนายอนุชา​ นาคาศัย ส.ส.พรรค พปชร.​ จะย้ายไปพรรค รทสช.

ส่วนนายจุติ​ ไกรฤกษ์​ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์​ (พม.) สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ปฏิเสธการตอบคำถามถึงกระแสข่าวย้ายพรรคไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ​ หลังจากมีกระแสข่าวจะร่วมงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ได้แต่เพียงหันมายิ้มและนิ้วโป้ง​ 2 ข้างให้กับผู้สื่อข่าว​

ด้านนายอนุทิน​ ​ชาญ​วี​รกูล​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​และ รมว.​สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรค ภท. กล่าวถึงกรณีนายศุภชัย​ ใจสมุทร​ ส.ส.ของพรรค ลงพื้นที่หาเสียง โดยได้ระบุถึงเรื่องความสงบจบที่ลุงตู่ ว่าความสงบขายไม่ได้แล้วนั้น ตนต้องไปเตือนเขา การหาเสียงของพรรคภูมิ​ใจไทย​ต้องไม่พูดถึงพรรคอื่น​

 "ฝากขอโทษผ่านสื่อไปยังนายกรัฐมนตรี​ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเจตนารมณ์​ของพรรคภูมิใจ​ไทย​ที่จะพูดถึงบุคคลอื่น​" นายอนุทินกล่าว

ต่อมา นายอนุทินให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อแห่งหนึ่ง ตอนหนึ่งถึงความสัมพันธ์กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า คนในพรรคภูมิใจไทยมากกว่า 80% มีจุดเริ่มต้นเป็นตัวเป็นตนในทางการเมืองได้เพราะเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยมาทุกคน เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นพรรคไทยรักไทยนายทักษิณเป็นนายกฯ และพวกตนขณะนั้นก็เป็นรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลของท่านหลายคน ในส่วนนั้นท่านมีพระคุณกับเรา ทำให้เรามีพื้นฐานในการบริหารราชการแผ่นดิน เติบโตทางการเมืองมาจนถึงวันนี้ เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง บทบาทของแต่ละท่านมันหมดไป ทุกคนก็ต้องมีทางเลือกในการที่จะเดินหน้าต่อไป

"แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเมตตาที่ท่านเคยให้กับพวกเราไว้เป็นสิ่งดีที่เราควรจะต้องจดจำไว้ ไม่มีใครในพรรคภูมิใจไทยคิดร้ายกับท่านนายกฯ ทักษิณ บทบาทการเมืองก็ว่ากันไป ถือเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าทุกอย่างมันเป็นบทบาทในทางการเมือง" นายอนุทินกล่าว

สำหรับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวถึงการทำไพรมารีโหวตเพื่อส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในส่วนของพรรคว่า มีความพร้อม กฎหมายว่าอย่างไรก็พร้อมปฏิบัติไปตามนั้น ไม่มีอะไรน่ากังวล รวมถึงตัวแทนพรรคประจำจังหวัดที่จะเป็นผู้คัดกรองผู้สมัครก่อนเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคนั้น เราก็พร้อมเกือบจะครบทุกจังหวัด เหลืออีก 3-5 จังหวัดก็จะครบทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็ไม่มีปัญหาเรื่องนี้

"ยืนยันพรรคจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งครบ 400 เขต และผู้สมัครบัญชีรายชื่อครบ 100 คน" นายจุรินทร์กล่าว

นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข และรองหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวถึงกระแสข่าวการย้ายพรรคว่า วันที่ 20 ก.พ.ตนจะประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการว่าจะอยู่พรรคใด แต่วันนี้ยังอยู่ ปชป.

อบต. 4 แสนคนรอเฮ!

ที่ที่ทำการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ส.ส. และสมาชิกพรรค เพื่อพิจารณาต่อการเลือกบุคคลให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง หลังจากที่เปิดรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกพรรค โดยนายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และผู้อำนวยการพรรค ชทพ. แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรค ชทพ. เป็นบุคคลที่พรรคจะสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ของพรรคเพียงชื่อเดียว ขณะที่นายวราวุธยินยอมที่จะรับการเสนอชื่อดังกล่าว อย่างไรก็ดี ตนเชื่อว่าในการเลือกตั้้งพรรคจะได้รับเลือกตั้งจากประชาชน ได้ ส.ส.มากกว่า 25 คน  

ด้านนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสมาชิกพรรครวมพลัง กล่าวถึงอนาคตทางการเมืองว่า ตอนนี้ได้มีหัวหน้าพรรคและกรรมการพรรคชุดใหม่แล้ว ตนไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค โดยกรรมการชุดใหม่ก็คงดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป ส่วนตนก็จะยุติบทบาททางการเมือง แต่ยังเป็นสมาชิกอยู่

วันเดียวกัน ผศ.(พิเศษ) ดร.วิระศักดิ์ ฮาดดา นายกสมาคม อบต.แห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายกสุพจน์ แพรดำ ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคม อบต.แห่งประเทศไทย ได้เข้าพบนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายชัชวาลล์ คงอุดม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อมาติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการขอขึ้นค่าตอบแทนของผู้บริหารท้องถิ่น อบต. และสมาชิกทั่วประเทศ ชึ่งเคยได้ยื่นเรื่องมานานแล้ว

ผศ.(พิเศษ) ดร.วิระศักดิ์กล่าวหลังเข้าพบว่า นายพีระพันธุ์แจ้งให้ทราบว่า พล.อ.อนุพงษ์เห็นชอบในหลักการจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองกฎหมายในวันพุธที่ 8 ก.พ.นี้ เพราะ อบต.ไม่ได้ขึ้นค่าตอบแทนมาประมาณ 15 ปีแล้ว ถือว่าเป็นความหวังที่ อบต.รอมานาน ทั้งนี้ ถ้าเปรียบเทียบค่าตอบแทนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปัจจุบันค่าตอบแทนสูงสุดของ อบต.เท่ากับขั้นต่ำสุดของเทศบาล จึงเป็นการปรับเพิ่มเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในฐานะเป็นท้องถิ่นด้วยกันทั้งหมด สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการปรับให้ อบต.ครั้งนี้ ทางกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าสามารถจัดสรรได้ตามกรอบวงเงินที่มีอยู่ เพราะเงินส่วนใหญ่ก็มาจากท้องถิ่นเอง

"ถ้าคณะกรรมการกลั่นกรองด้านกฎหมายกระทรวงมหาดไทยพิจารณาร่างระเบียบของกระทรวงมหาดไทยในเรื่องขึ้นค่าตอบแทนผู้บริหาร อบต.แล้วเสร็จ ก็ส่งเรื่องให้ รมว.มหาดไทยลงนาม ก็เรียบร้อย ไม่ต้องนำเข้า ครม. เพราะเป็นแค่ระเบียบของกระทรวงมหาดไทย แม้จะมีการยุบสภา ก็ไม่มีผลสามารถบังคับใช้ได้" ผศ.(พิเศษ) ดร.วิระศักดิ์กล่าว

นายกสมาคม อบต.ฯ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความหวังของนายก อบต. 5,300 แห่ง ถ้ารวมถึงสมาชิก อบต.ทั่วประเทศก็เกือบ 4 แสนคน ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ จะถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของนายกรัฐมนตรีที่ส่งนายพีระพันธุ์มาหารือ โดยในวันที่ 1-3 มี.ค. สมาคม อบต.ฯ จะจัดสัมมนาใหญ่ที่จ.อุดรธานี จะเชิญนายกฯ ไปเป็นประธาน ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ รับรองว่าท้องถิ่นทั่วประเทศจะมาขอบคุณนายกฯ กระหึ่มแน่นอน เพราะไม่มีใครเคยทำเรื่องนี้สำเร็จมาก่อน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง